26/4/57

รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 1) : เตรียมตัวเที่ยว Italy ด้วยตนเอง

สวัสดีคะ ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปนานพอสมควร วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี มีอะไรกลับมาเขียนเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง....ชีวิตแห่งการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง รอบนี้ได้หนีร้อนช่วงสงกรานต์บ้านเราไปอิตาลี 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ษ.-19 เม.ษ. 2014 สาวออฟฟิชอย่างเรา จะได้เที่ยวยาวขนาดนี้ก็ต้องรอช่วงเทศกาลวันหยุดอย่างนี้นี่แหละ T_T

ทริปนี้เป็นการเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ และจัดเป็นทริปที่่ค่อนข้างจะยาวทีเดียว ทำให้ต้องใช้เวลาในการวางแผนค่อนข้างนาน งานนี้วาง schedule คนเดียวตลอด 15 วันเดียว จึงเป็นงานค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ต้องขอบคุณโลก internet และ blogger ท่านอื่นๆมาก ที่ให้ข้อมูลไว้อย่างดี ทำให้การตามรอยของเราไม่ลำบากมากนัก เมื่อลอกการบ้านคนอื่นมาเยอะแล้วพอจบทริปก็ขอทำตัวเป็นประโยชน์บ้างส่งการบ้านเผื่อจะมีประโยชน์กะคนที่จะไปเที่ยวต่อๆไป และก็ถือเป็นการบันทึกความทรงจำของตัวเองเหมือนเคย :)

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ในเรื่องของการเตรียมตัว เราวางแผนคร่าวๆก่อนว่าจะบินลงที่โรม แล้วเที่ยวไล่เหนือขึ้นไปเรื่อยๆ บินกลับที่มิลาน ...หลักๆก็คงจะต้องเริ่มจากการหาตั๋วเครื่องบินก่อน Priorities หลักที่เราใช้ในการหาตั๋ว คือ ราคา และเวลาคะ รอบนี้เราใช้บริการ http://www.cheaptickets.co.th เหมือนเคย ตั๋วเครื่องบินไปกลับที่เราได้รอบนี้ตกราคา 38,xxx บาท แพงเหมือนกัน เพราะคงเป็นช่วง high season ของการท่องเที่ยวพอดี นี่ขนาดจองเร็วแล้วนะคะ เราลักไก่จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินก่อนทั้งๆที่ยังไม่ได้ขอวีซ่า (ถ้ารอให้ได้วีซ่าแล้วจองตั๋วนี่ราคาจะขึ้นไปอีกเกือบ 6,xxx)...ขาไปได้เป็นไป Airfrance แล้วขากลับกลับ KLM จริงๆแล้ว 2 สายการบินนี้เค้าก็ co กันอยู่แล้ว...ตอนจอง airfrance ก็มีออกโปรโมชั่นมาเหมือนกัน ราคาเปรียบเทียบพอๆกับในเว็บ แต่ขากลับของ airfrance จะเป็นไฟล์ทเช้ามาก ไอ้เราก็กลัวตกเครื่องเลยได้เป็นไฟล์ทบ่ายของ KLM แทนสบายใจกว่า

จากนั้นก็มาจัดตารางเที่ยวโดยละเอียด (ซึงอันนี้ใช้ประกอบตอนไปขอวีซ่าด้วย) ลองอ่านจากหนังสือท่องเที่ยวและตาม blog คนอื่น + pantip แล้วก็มาปรับให้สอดคล้องกับที่ตัวเองอยากไปเที่ยว สรุปได้ตารางคร่าวๆตามนี้ เชิญโหลดได้ตาม link คะ รายละเอียดอาจมีการปรับและต่างจากที่ไปเที่ยวจริงๆ บ้าง (กลับมาแล้วขี้เกียจแก้ไฟล์) สรุปคร่าวๆ ประมาณนี้
  • Day 1 : Bangkok - Rome
  • Day 2 : Rome
  • Day 3 : Rome
  • Day 4 : Rome
  • Day 5 : Rome - Florence
  • Day 6 : Florence - Pisa - Florence
  • Day 7 : Florence - Cinque Terre - Florence
  • Day 8 : Florence - Siena - Florence
  • Day 9 : Florence
  • Day 10 : Florence - Venice
  • Day 11 : Venice
  • Day 12 : Venice - Milan
  • Day 13 : Milan - Lake Como - Milan
  • Day 14 : Milan - Verona - Milan
  • Day 15 - Milan - Bangkok
หลักๆ ก็คือนอน 4 เมืองหลัก Rome - Florence - Venice - Milan ส่วนเมืองอื่นๆก็จะไปเที่ยวแบบ one day trip แทน

หนังสือนำเที่ยวที่แนะนำ หลักๆเลยเราใช้เล่มนี้ คู่มือท่องเที่ยวอิตาลีด้วยตนเอง ของสำนักพิมพ์วงกลม
ส่วนใน pantip แนะนำให้อ่านของคุณ ช้างน้อยคู่ช้างน้ำเลย เหมือนมีคนมาเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังสำหรับงาน art ต่างๆ อีกหนึ่ง blog ที่แนะนำคือของคุณ Holly

ศึกษาข้อมูลวางแผนโน่นนั่นนี่เสร็จแล้ว ขั้นตอนที่ยากสุด คงจะเป็นการขอ visa หละมั้งคะ ตอนนี้สถานทูตอิตาลีได้เปลี่ยนมาใช้ VFS เป็นผู้ให้บริการกับเราในการขอวีซ่า รายละเอียดก็ดูได้ตาม website ตอนที่เราไปขอวีซ่าช่วงปลายเดือนม.ค. ยังมีเป็นระบบจองคิวออนไลน์อยู่ แต่ดูเหมือนตอนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นให้ walkin เข้าไปแทน สำนักงานก็อยู่ที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์

เราขอเป็นวีซ่าแบบท่องเที่ยว ซึ่งเข้าออกที่ประเทศอิตาลีประเทศเดียว ค่าวีซ่าก็คิดเป็นเงิน 2521 บาท รวมค่าดำเนินการของ vfs อีก 500 ก็เป็น 3021 บาท รายละเอียดการเตรียมการเอกสารก็ตาม link ของทาง vfs จัดไปให้พร้อมคะ อย่าลืมเตรียมแผนการเดินทางไปด้วย แม้เค้าไม่ได้กำหนดเป็น required document รูปถ่ายก็ต้องใช้ตามขนาดที่เค้ากำหนดเท่านั้น ดูรายละเอียดดีๆก่อนไปถ่ายรูปนะคะ เดี๋ยวจะเสียเงินฟรีและเสียเวลาด้วย ตอนจองโรงแรมที่พัก อย่าลืมให้ให้ใบ booking ของเรามีชื่อของคนที่จะไปพักครบทุกคนนะคะ ถ้าใครจองผ่าน booking ก็เข้าไปแก้ให้มีชื่อเราเรียบร้อย หรือถ้าใครจองตรงกับโรงแรมก็อย่าลืมให้โรงแรม confirmed กลับมาให้มีชื่อทุกคนให้เรียบร้อย ประกันการเดินทาง บริษัทประกันก็ต้องเป็นไปตามลิสต์ที่เค้ากำหนด

ตอนที่เราไปยื่นเอกสาร เราไปยื่นพร้อมกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน ก็เลยยื่นเอกสารพร้อมกัน เพราะพวกโรงแรมที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ก็ใช้เหมือนกันอยู่แล้วทาง VFS ก็จะได้ตรวจเอกสารครั้งเดียว เท่าที่ดูว่าเค้า serious ในการตรวจนอกจากพวกเอกสารหลักฐานรับรองฐานะทางการเงินแล้ว ก็คือพวกที่อยู่ของโรงแรมที่เราจอง จะต้องมีรายละเอียดเป๊ะ บอกที่อยู่(full address) มีเบอร์ติดต่อพร้อม ตอนเราจองไปยื่นวีซ่า นี่เราก็จองแบบที่เราจะไปอยู่จริงๆเลย มันก็เลยมีการเปลี่ยนที่อยู่ถึง 4 ครั้ง เนื่องจากขี้เกียจทำงานซ้ำหลายรอบ แต่เจ้าหน้าที่บอกน้องไม่ต้องจองจริงก็ได้ T_T จริงๆจองให้มีที่อยู่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนที่อยู่บ่อย เค้าอาจจะเช็คง่ายกว่า อ่อ เจ้าหน้าที่ชมด้วยว่าแผนการเดินทางละเอียดดี ฮ่าๆ ก็ต้องการแสดงให้เห็นว่าไม่ได้จะไปเป็นโรบินฮู้ดนะ หนูจะไปเที่ยวจริงๆ

จากนั้น 1 อาทิตย์เราก็ได้เล่มวีซ่าคืน ตอนที่เราได้เล่มคืนทาง vfs จะ sms/email มาบอก แต่ไม่ได้บอกผลว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ก็คือจะต้องไปรับเล่มแล้วแกะลุ้นเอาเองตรงนั้นว่าผ่านหรือไม่  สรุปเราและเพื่อนๆก็ผ่านโดยดีคะ ไม่มีปัญหาใดๆ

จากนั้นพอวีซ่าผ่าน มั่นใจแล้วว่าวันไหนจะเที่ยวอะไร จะเปลี่ยนเมืองวันไหน เราก็เริ่มทำการจองตั๋วรถไฟกันคะ ตาม website เลย ยิ่งจองเร็วก็ยิ่งถูกนะคะ ยังหาราคาแบบ economy ได้ ถ้ายิ่งจองช้าก็จะยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ พวกรถไฟประเภท Frecciargento ซึ่งจะเป็นรถไฟความเร็วสูง วิ่งข้ามเมืองระยะทางไกลๆ พวกนี้เราจะจองก่อนได้เลย ระบุที่นั่งชัดเจน ตอนจองก็ไม่ต้องลงทะเบียนก็ได้ (เพราะเราไม่ใช่ Italian resident) แต่พอจองเสร็จก็เก็บ confirmation ไว้ให้ดี เพราะตอนไปถึงจริงๆ เราก็สามารถขึ้นรถไฟได้เลย ถ้ามีคนมาตรวจตั๋วถึงจะแสดงหลักฐานให้เค้าดู confirmation ใครจะปริ๊นท์เป็น hard copies ก็ได้ หรือ save PDF files ใส่ ibook โชว์ใหักับพนักงานตรวจตั๋วก็ได้  รถไฟที่โน่นดูข้างนอกจะสกปรกหน่อย เพราะคนที่โน่นมือบอนคะ ชอบมาวาดเขียนบนตัวรถไฟซะเละไปหมด แต่ภายในสะอาด กว้างขวางและนั่งสบายมาก ที่วางกระเป๋าก็ไม่ต้องห่วง ถ้ากระเป๋าใบใหญ่ๆอย่างเราก็วางไว้ตรงระหว่างโบกี้ได้ แต่ถ้าใครกระเป๋าเล็กหน่อยก็วางบน rack ตรงเหนือที่นั่งได้เลย
ส่วนประเภทรถไฟ intercities ที่จองล่วงหน้าไม่ได้ เราก็ดูรอบรถไฟได้จากใน website เพื่อการวางแผนแล้วก็ไปซื้อจริงโดยการกดจากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่ โน่นได้เลย
 อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำ คือ การจองตั๋วพวก museum/gallery ที่คนหนาแน่นไว้ก่อนล่วงหน้าเลย พวกนี้จะมีค่าธรรมเนียมการจองเพิ่มพิเศษ แต่ทำให้สะดวกมากเพราะว่าเวลาไปถึงจริงๆ เราไม่ต้องต่อคิวรอนานคะ (คิวมันยาวจริงๆนะสำหรับบางที่ และบางที่เค้าจำกัดจำนวนคนต่อรอบเข้าชม) ที่ที่แนะนำให้จองไปก่อนเลย ก็คือ
  • Vatican Museum : ดูรายละเอียดใน website
  • Borghese gallery : อันนี้เราสามารถใช้สิทธิ์ roma pass เข้าฟรีได้ แต่ต้องโทรไปจองก่อนคะ ดูรายละเอียดการจองได้จากสรุปของคุณคนนี้
  • Uffizi Gallery : ดูรายละเอียดในwebsite
  • The Accademia Gallery : ดูรายละเอียดใน website
อย่างบางที่ เช่น Cinque Terre เราประเมิณแล้วว่าเราไม่สามารถไปเที่ยวเองได้ ก็เลยซื้อ Tour one day trip แทน พวกนี้ก็จัดการตั้งแต่ก่อนจะเดินทางจริงเช่นกัน

อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวนี้เครื่องมือสื่อสารช่วยทำให้การเดินทางของเราง่ายขึ้นมาก รอบนี้เราไปซื้อ sim card ของที่โน่น ยี่ห้อ TIM จะมี package สำหรับ Tourist คือสามารถใช้ได้ 1 เดือน ราคา 20 ยูโร ใช้ได้ทั้งโทรและ data  ประหยัดกว่าโรมมิ่้งจากเมืองไทยเยอะมาก เราลงเครื่องที่ Rome Leonardo Da Vinci Airport เดินหาหลายที่ ถามหลายคนมากใน airport เลยก็ไม่มีขาย แต่ขึ้นรถไฟมาลง Central Roma - Termini Stazione ก็มีร้าน TIM อยู่เลย ...ที่ตลก อีกอย่าง คือ เพื่อนเราคนนึงซื้อซิมปุ๊บ อีกไม่กี่นาทีใช้งานได้เลย ส่วนเรากะเพื่อนอีกสองสามคนซื้อทีหลัง ซื้อซิมแล้วต้องรออีกสองชั่วโมงถึงจะใช้งานได้ ปรากฏว่าสองชั่วโมงก็ยังใช้งานไม่ได้ เลยเดินกลับไปที่ร้านใหม่เพื่อไปถามเค้า พอถึงร้านก็ใช้ได้เลย เลยเข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของการคีย์เข้าระบบของเค้ามากกว่าเพื่อเปิดให้เราได้ใช้งาน จะใช้งานได้เร็วแค่ไหนก็คงขึ้นกะพนักงานสาขานั้นๆ รวมๆ การใช้งาน sim ของ tim card โอเคเลย speed ไว ไปที่่ต่างๆทั่วอิตาลีก็ใช้ได้หมด แต่เหมือนเค้าจะกำหนดไว้ใช้งาน data ได้แค่ 1g พอเราใช้เกิน speed ก็จะตกแต่ยังพอใช้งานได้ อย่างอัพรูป FB หรือ line ใช้ได้ปกติ แต่ instagram จะอัพรูปไม่ได้ในวันหลังๆซึ่งใช้ data ไป 2 g แล้ว
เมื่อมี internet แล้ว app ที่เป็น a must ที่จะต้อง download ก็คือ Google map คะ สุดยอด app แห่งการท่องเที่ยว ไปไหนๆ ไม่มีหลง เพราะมี google map นี่แหละคอยบอกทาง มันจะคำนวนให้หมดว่าควรจะเดินหรือนั่งรถเมล์หรือ metro ดี พึ่งพาได้สุดๆ จากประสบการณ์ google map ไม่ทำให้ผิดหวัง เว้นแต่ว่าร้านหรือสิ่งที่เราตามหาเค้าเกิดเปลี่ยนชื่อในภายหลัง

อีก app นึงคือ Tripadvisor ซึ่งจะต้องโหลดแผนที่ไปก่อน อันนี้มีประโยชน์ในการเลือกร้านอาหารมากๆ ส่วนใหญ่เราก็จะเลือกจาก best nearby ดูร้านที่ ranking ดีๆ คน review เยอะๆ เท่าที่สังเกตตามร้านอาหาร โรงแรมในต่างประเทศ เดี๋ยวนี้แปะป้าย tripadvisor เพียบ เราว่ามันมีอิทธิพลต่อการใช้จ่ายของคนสูงมากนะ

ในเรื่องของการเตรียมเครื่องแต่งกาย ช่วงเวลาที่เราไปคือ เม.ษ. ถือว่าแต่งตัวยากมากก อากาศจะหนาวระดับ 10 องศา ในตอนเช้าและตอนมืด แต่กลางวันแดดจะแรงมาก ทำให้อากาศร้อนถึงร้อนมาก ขึ้นกะว่ามีลมหรือเปล่า ถ้ามีลมก็จะเย็นๆหน่อย (แต่ย้ำแดดแรงจริงๆ) แถมพระอาทิตย์ก็ตกตอน 2 ทุ่ม ข้อดีก็คือเราเหมือนจะเที่ยวได้นานขึ้น แต่ความฝันที่จะเป็นบรรยากาศชิลๆพระอาทิตย์ตกดินล่มสลาย นอกจากนี้ มันเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู บางวันก็จะมีฝน ...สรุปก็คือ เตรียมหนาพอประมาณไว้เผื่อตอนเช้าและมืด แต่กลางวันก็ถอดพวกเสื้อหนาวออกแล้วกัน พกร่มไปด้วย แต่เท่าที่เราสังเกต คนอิตาลีเค้าแต่งเต็มมาก คือ แต่งรับหนาวตลอดวัน บางทีก็งงเหมือนกัน ทนได้ไงอย่างกลางวันซึ่งมันร้อนมาก

เรื่องของการเข้าเมือง ผ่านตม. เนื่องจากเราไปเปลี่ยนเครื่องที่ paris ก่อนเข้า rome ก็เลยผ่านตม.ที่ paris แทนที่นี่ถามละเอียดเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่ถามเหมือนตอนเราเตรียมเอกสารไปขอวีซ่าเลย ว่าคุณมีเงินพกมามั้ย มีบัตรเครดิตมั้ย finance การใช้จ่ายในการไปเที่ยวอย่างไร โรงแรมที่พักพักที่ไหน อยู่กี่วัน มีประกันการเดินทางมั้ย ก็เตรียมไปให้ดีหละกัน อย่างเราและเพื่อนก็พกทั้ง hard copies และก็ save pdf files พวกหลักฐานประกอบที่ขอวีซ่าไว้ใน ibooks พอโชว์ให้เค้าดู พูดภาษาอังกฤษ ถามตอบได้เค้าก็ปล่อยผ่านไม่มีปัญหาอะไร

การท่องเที่ยวในอิตาลีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนขู่ๆกันก่อนที่เราจะไป เราและเพื่อนๆกลับมาด้วยความปลอดภัยทั้งทรัพย์สินและร่างกาย จะมีบ้างในมิลานที่ดูน่ากลัวหน่อย พวกยิปซีเยอะ แต่ที่อื่นเรามักจะไปในสถานที่ท่องเที่ยวก็เลยเจอแต่นักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่กลับมาปลอดภัย ก็เพราะว่าระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยมั้งคะ เงินที่พกไปก็แยกไว้หลายก้อน ซ่อนไว้หลายที่กระจายความเสี่ยง ไม่เดินไปไหนมาไหนคนเดียว ไปกันเป็นกลุ่ม อย่าทำตัวเป็น tourist obviously มาก หมั่นตรวจสอบทรัพย์สินเป็นระยะ โดยรวมก็น่าจะโอเค

อาหารการกิน  ร้านในอิตาลีมีให้เลือกหลายระดับคะ แพงมากน้อยมีหมด ก็แล้วแต่ budget ของแต่ละคน ถ้าร้านนั่งเค้าจะมีชาร์ตเพิ่มอีก ปกติก็ประมาณคนละ 1.5-2 ยูโร แต่จะไม่มี service charge เพิ่ม ไม่ต้องให้ทิปได้ ...น้ำดื่มที่โน่นทานได้จาก tab เลย...ถ้าอยากซื้อของใช้ หรือของกินถูกหน่อยก็มองหา Conad หรือ Coop ที่โน่นเพื่อ shopping grocery ได้ช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายไปได้...จากประสบการณ์ของเราที่ไป ปกติเราก็กินได้หมดนะ แต่มีวันท้ายๆบางวันที่จะคิดถึงอาหารรสจัดๆอย่างอาหารไทยบ้านเราบ้าง และก็เริ่มเบื่อขนมปังบ้าง อาหารที่โน่นโดยรวมอร่อยใช้ได้ แต่ carb จัดหนักไปหน่อย...ที่ห้ามพลาด คือ Gelato มันเด็ดมาก

Tax Refund จะต้องซื้อต่อร้านต่อบิลมากกว่า 155 ยูโรขึ้นถึงจะไปทำ tax refund ได้ เดี๋ยวขั้นตอนของที่นี่ต่างไปจากที่เคยมาก เรากลับที่ Milano linate เค้าให้เราไป check in เพื่อเอา tag กระเป๋าก่อน ใช้แค่ boarding pass ไม่ได้นะคะ ต้องไปเข้าคิวเช็คอินเหมือนจะโหลดกระเป๋า ตอนเช็คอินก็บอก ground services ว่าจะไปทำ refund เค้าก็จะดำเนินการให้ออก boarding pass / check in กระเป๋าที่จะโหลด พอได้ tag แปะกระเป๋าแล้ว เราก็ต้องกลับไปที่ custom อีกที เอาใบที่จะเคลม tax ที่ได้มาจากร้านต่างๆยื่นให้ทาง custom เพื่อทำการ stamp อาจจะมีการโดนตรวจว่ามีของอยู่จริงหรือเปล่าหรือไม่โดนตรวจเลย อย่างเรามีใบนึงที่เคลม tax คืนเยอะก็จะโดนให้โชว์สินค้า พร้อมกับบังคับให้โหลดใส่ในกระเป๋าเดินทาง แต่เพื่อนเราคนอื่นๆไม่โดนให้โชว์สินค้าอะไร เสร็จจากที่คุณ custom ทำการ stamp ให้แล้วก็เอากระเป๋าไป drop off ที่เคาน์เตอร์เช็คอินได้เลย จากนั้นก็ผ่าน immigration เพื่อเข้าไปทำการรับเงินคืนจาก global blue counter เค้าจะให้รับคืนเป็นเงินสดหรือคืนเข้าบัตรเครดิต สำหรับการรับคืนเป็นเงินสด จะได้เป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่ euro เช่น เป็น usd ซึ่งตรงนี้ global blue ก็จะคิด spread โหดอีก เช่น อย่างตอนที่เราไป eur/thb อยู่ 1.38 เค้าก็จะให้เราแค่ 1.29 หรืออย่าง eur/thb อยู่ 46 เค้ากดเราเหลือให้แค่ 38 บาทเป็นต้น ถ้าขอ tax คืนเกิน 999 ยูโร จะได้รับเป็นคืนทางเครดิตเท่านั้น

จบแล้วภาคการเตรียมตัว ตอนหน้าจะมีรีวิวที่พักตามเมืองต่างๆให้ดูก่อนจะเริ่มเที่ยวตามเมืองต่างๆคะ
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 2) : ที่พักใน Italy 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 3) : Day 1 ประสบการณ์การบินกับ Airfrance และการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองที่โรม (Rome)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 4) : Day 2 When in Rome (โรม)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 5) : Day 3 Vatican (วาติกัน) และ Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 6) : Day 4 เก็บตก Rome (โรม) 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 7) : Day 5 ฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองหลวงของ Tuscany
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 8) : Day 6 ช็อปปิ้งที่ The Mall Outlet และเมื่อโลกมันเอียงที่ปิซ่า (Pisa)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 9) : Day 7 Hiking Tour 5 หมู่บ้านที่ Cinque Terre
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 10) : Day 8 Siena (เซียน่า) และเก็บตก Florence (ฟลอเรนซ์)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 11) : Day 9 Museum day in Florence (ฟลอเรนซ์) 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 12) : Day 10 Venice (เวนิส)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 13) : Day 11 มูราโน (Murano) บูราโน (ฺBurano) และล่องกอนโดลา (Gondola) ในเวนิส (Venice)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 14) : Day 12 มิลาน (Milan)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 15) : Day 13 Lake Como (เลคโคโม่)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนจบ) : Verona (เวโรนา) และสรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป
 

1 ความคิดเห็น:

  1. This is an awesome article a debt of gratitude is in order for sharing this useful data. I will visit your web journal consistently for some most recent post.indisches Visum für deutsche Staatsbürger

    ตอบลบ