25/4/56

เตรียมการบ้านกะ NN : 25 เม.ย. 56 W shape?

ความเดิมจากตอนก่อนหน้า ดูเหมือนว่าตลาดไทยอยากลุ้นทำ W shape จริงๆ MACD ตัดขึ้นมาอยู่ในแดนมากกว่า > 0  Volume มา RSI ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น และ ATR ค่อยๆลดลง
SET ผ่านแนวกดที่ติดมาตลอดได้สำเร็จ
มาดูแนว Fibo บ้าง
ดูดีหมดแทบทุก indicators โลกสวยไปรึป่าวเรา :P

ตลาดโลกจากวีคก่อนที่ไม่ค่อยเป็นใจ ก็กลับมาดูดีขึ้น อันเป็นผลมาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาดี ตัวเลขของเศรษฐกิจอังกฤษก็ดีขึ้น และที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดปรับตัวกลับมาจริงๆ รอบนี้ คือ การเก็งกันว่า ECB น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ (จริงๆ การที่ยังคงจะลดดอกเบี้ยต่อ หรือใส่มาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเศรษฐกิจ มันเหมือนเป็นสัญญาณว่าต้องใช้ยาแรงเพื่อกระตุ้นให้มากขึ้น ที่ทำไปก่อนหน้ามันยังไม่ได้ผลพอ แต่ในโลกของ Low interest rate environment การลดดอกเบี้ยนี่ดีต่อราคาหุ้นนักแล ก็คิดง่ายๆ discount rate ต่ำลง ราคาหุ้นก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา)

DXY ยังไม่ผ่านแนว high ก่อนหน้าที่ทำไว้
DJIA แนวแถวนี้น่าจะรับอยู่ ลุ้นกลับไป high เดิมเหมือนตลาดไทย
 DAX ที่ก่อนหน้าอ่อนมาก น่าจะลบภาพ H&S ได้

ค่าเงินบาทก็เริ่มอ่อนค่ากลับมา ก่อนหน้านี้กังวลกันว่าบาทแข็งมากๆ BOT จะออกมาตรการอะไรมาสะกัดหรือเปล่า คนกลัว Capital control มาก แต่สุดท้ายวันนี้ BOT ก็ออกมาแนวว่าให้เอาเงินสำรองมาใช้ลงทุนใน corporate bond ต่างประเทศแทน ประเด็นนี้ก็น่าจะคลายความกังวลไปได้ระดับนึง และอีกกระแส ก็เก็งกันว่ารอบหน้าอาจจะมีการลดดอกเบี้ยของ MPC ก็รอดูกันไป
 สรุปลุ้นตลาดไทยให้ผ่าน High เดิมที่ทำไว้ที่ 1601.34 ถ้าผ่านได้ก็ W shape สวยงาม แล้วก็ลุ้นต่อว่าเดือนนี้ SET จะทำสถิติใหม่ ทำแท่งเขียวในระยะเดือนยาวนานที่สุดเป็นเดือนที่ 11 ได้หรือไม่ :)
 Enjoy the ride and stick with leaders :)

24/4/56

CPALL + MAKRO = The biggest M&A in Thailand so far

ใครเชื่อเรื่อง It's all in chart บ้าง ไม่ต้องมี source ที่มี inside ใดๆ ทุกอย่างมันก็สะท้อนออกมาให้เห็นในกราฟได้หมด (ใครว่า market ไม่ efficient ราคาและ volume มันสะท้อนเกือบทั้งหมดแหละ :D)
เริ่มเรื่องตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. แม็คโครตั้งที่ปรึกษา"ขายกิจการ" จีบขาใหญ่"เซ็นทรัล-ซีพี-บีเจซี"คาดตั้งราคาสูงลิ่ว
และแน่นอนบริษัทก็จะต้องออกมาปฏิเสธ แต่ราคาก็ยังไปต่ออย่างที่เห็น 

จนในที่สุดวันที่ 23 เม.ย. ทุกอย่างก็เฉลย ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของประเทศจะเป็นผู้ไปซื้อค้าส่งรายใหญ่ที่สุดของประเทศ สรุป deal M&A ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคร่าวๆ  ดังนี้
  • ผู้ซื้อ CPALL
  • ผู้ขาย SHV Holdings NV
  • หลักทรัพย์ MAKRO - 64% ซึ่งการซื้อที่มากกว่า trigger ที่ 50% จะต้องทำ Tender offer ทั้งหมด คือ ทั้ง 240 ล้านหุ้นของ MAKRO ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
  • ราคาล่าสุดก่อน SP ของ MAKRO 682 บาท
  • ราคาซื้อขายที่ตกลงกัน 787 บาท (15.4% Premium) หรือคิดเป็น PE 53 เท่าเทียบกับ EPS12 / PE 43 เท่าเทียบกับ EPS13
  • มูลค่ารายการรวมทั้งหมด 188,880 ล้านบาท
  • แหล่งที่มาของเงินลงทุน คือ กู้ 90% จาก 5 สถาบันการเงินใหญ่ คือ SCB, Standard Chartered Plc, Sumitomo, Mitsui Banking Corp และ UBS AG เป็น bridge loan ระยะเวลา 1 ปี ส่วนที่เหลืออีก 10% มาจากกระแสเงินสดภายในกิจการ 
  • Timeframe CPALL ขออนุมัติผู้ถือหุ้นวันที่ 12 มิ.ย. ถ้าผ่าน voting > 75% ก็ถือว่าเป็นอันสำเร็จ เริ่ม tender offer ได้ในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค. และคาดว่าจะแล้วเสร็จทุกอย่างในเดือนส.ค.
เหตุผลหลักที่ CPALL ใช้สนับสนุนการตัดสินใจซื้อ MAKRO
  • ต้องการเป็น No.1 ใน Retail business ซึ่งผลจากการซื้อครั้งนี้ในแง่ของยอดขาย CPALL จะทิ้งที่ 2 เป็นเท่าตัว  Best match derived from best in class in cash and carry / convenient store
  • มองว่า asset และ prospect ของMAKRO ในการทำธุรกิจดีมาก โตต่อเนื่องและผลกำไรก็ดีต่อเนื่อง กระแสเงินสดเองก็ดี จ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ
  • เพิ่ม Economy of scales - order pooling/ bargaining power ซึ่งจะทำให้ margin ดีขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยเฉพาะด้าน logistics
  • ใช้ leverage อันเป็นการ Utilize balance sheet ของตนเองให้ optimal ขึ้น(ก่อนหน้านี้เป็น Debt free company)
  • เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถไปโตใน AEC ได้ อันละทิ้งข้อจำกัดเดิมที่ว่า 7-11 ไม่สามารถไปขยายที่อื่นได้ ต่อไปก็ใช้แบรนด์ของ MAKRO ในการไปขยายในต่างประเทศแทน
  • เป็นการ unlock hidden asset value โดยเฉพาะสินทรัพย์ของ MAKRO ซึ่งสาขาที่ดินมักจะเป็นของตนเอง 
สิ่งที่ได้แน่ๆในงบกำไรขาดทุนของ CPALL ทันที คือ การ Conso งบของ MAKRO เข้าไป ซื้อปุ๊บ โตได้ทันใจ (อันนี้รวมแบบง่ายๆ เป็นตุ๊กตา เสมือนหนึ่งว่าเอา A+B เลย)
Market Cap ของ CPALL ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก given PE เท่าเดิม นั่นหมายความว่า wealth ของผู้ถือหุ้นก็มากขึ้น และน้ำหนักใน SET Index ของ CPALL ก็จะเพิ่มไปด้วย (ซึ่งอาจจะมีผลต่อคนที่ลงทุนโดย index tracking)
จะเห็นได้ว่า Deal นี้มัน Leverage Buyout ชัดๆ ถึงแม้จะไม่เกิด Dilution effect แต่สิ่งที่ตามมาด้วยแน่ๆ คือ ภาระดอกเบี้ยมหาศาล และ DE ที่สูงขึ้นมากๆ (ธุรกิจโดยทั่วๆไปไม่ควรจะเกิน 2 เท่า)
ดูคร่าวๆ ภาระหนี้นี่มากกว่ากำไรของ MAKRO เสียอีก แต่กิจการค้าปลีก FCF สูง ส่วนนี้ก็จะมาช่วยผ่อนจ่ายดอกเบี้ยได้ส่วนหนึ่ง
ดีลนี้ทำให้ Dejavu นึกถึง BIGC ตอนซื้อคาร์ฟูร์เหมือนกัน อันนั้น financed ด้วยหนี้หมดก่อนแล้วก็ตามมาเพิ่มทุนทีหลัง ....สำหรับกรณีนี้ในช่วง bridge loan 1 ปี บริษัทสัญญาแล้วว่าจะไม่เพิ่มทุน แล้วก็จะยังจ่ายปันผลได้เหมือนเคย หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยกัน

แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เราไม่สามารถ quantify ได้ ซึ่งจะเพิ่ม Upside ให้ดีลก็มีอีกหลายประการ
  • Synergy ที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการ save cost/ เพิ่ม margin/ turnover/ cash cycle management/ sale growth boost/ expansion ต่างๆที่จะเพิ่มมาหลังจากการควบรวม
  • Leverage เกิด Tax shield และ improve ROE 
  • Asset revaluation และอาจจะ unlock asset ต่างๆด้วย financial instrument ต่างๆ เช่น REIT Property fund เป็นต้น
Risk ที่อาจจะเกิดขึ้น
  • Synergy ไม่ได้ตามคาด หรือช้ากว่าคาด
  • M&A มักตามมาด้วย expenses ใหญ่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ปรึกษา ค่าขจัดความซ้ำซ้อน ทับซ้อนของงาน เป็นต้น
  • Debt มากก็อาจเกิด Financial distress ได้ง่ายขึ้น
Benefit ที่เกิดเราว่าทุกคนคงเห็นได้ชัดอยู่แล้วหละแบบ ideally ติดอยู่ประเด็นเดียว คือ ราคา ทำไมถึงจ่ายที่ราคา 787! จ่ายซื้อ target takeover แพงกว่า PE ของตัวเองอีก
ความสมเหตุสมผลของการเกิดดีล ทุกอย่างมันอยู่ที่ ณ ราคาที่จ่าย ว่าคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน เกิดประโยชน์สูงสุดแค่ไหนต่อผู้ถือหุ้น การรวมกันอาจจะเป็นได้ทั้ง Value creator และ destroyer

สุดท้าย ก็ได้แต่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ เพื่อติดตามตอนต่อไป :)

20/4/56

เตรียมการบ้านกะ NN : 20 เม.ย. 56 Looking better but be cautious?

SET เปิดมาหลังจากหยุดสงกรานต์ดูดีทีเดียว สามารถมายืนเหนือเส้น moving average ได้ MACD ตัดขึ้น แต่ยัง < 0 มาด้วย Vol ที่มากขึ้น Volatility ลดลงบ้าง แต่ยังสูงอยู่
ที่น่าสนใจ คือ เหมือนจะ break down trend line ขึ้นมาได้
เหลือแนวระนาบอีกหน่อย ถ้าผ่านได้ ก็น่าจะไปลุ้น high เดิม 1600 ได้
ถ้าเป็นได้ดั่งคิด ก็ W shape สวยงาม
ตลาดเพื่อนบ้าน TIPs ก็ดูดีกว่าบ้านเราอีก
แต่พอลองกลับไปดูตลาดโลกแล้วก็แอบหวั่นเหมือนเดิม T_T
เหมือนว่า $ จะอยากเป็น Safe haven และเมื่อ DXY แข็งค่า ก็ไม่น่าจะดีกับ risky asset ทั่วโลกเท่าไร
DJIA ซึ่งก่อนหน้าแข็งมาก กลับเริ่มหลุดเทรนด์
DAX นี่อ่อนมาก
ถ้าตามดู news flow จะรู้สึกว่าทำไมช่วงนี้มีแต่ข่าวร้าย (จริงๆ commo sell off นี่มาก่อนข่าวร้ายต่างๆจะออกอีก) ตัวเลขศก.ทั่วโลกออกมาแย่มาก แถมเรื่องก่อการร้าย ภัยธรรมชาติอีก ล่าสุด UK ก็โดน downgrade rating ไปอีกราย แต่เดี๋ยวนี้เวลาตัวเลขออกมาแย่ก็ dilemma เหมือนกัน คนเสพติดการกระตุ้น อัดฉีดเงินของธนาคารกลาง กลายเป็น hope หวังการอัดฉีดมากยิ่งขึ้นไปอีก ....Liquidity driven กันไป

กลับมาตลาดไทยบ้าง นี่ก็อัดฉีดความหวังผ่านตัว G มาก ล่าสุด BOT ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ประเทศจาก 4.8% เป็น 5% BOT มองว่าโครงการ 2 ล้านๆ จะเริ่ม disburse ได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้เลยส่วนนึง แต่ปรับลดส่วนของ private investment และ export ลง (ก็แน่หละ บาทแข็งซะขนาดนี้)
บาทแข็งมากขนาดนี้ ฝรั่งก็กำไรค่าเงินอีกทาง นอกเหนือจาก capital gain ไม่แปลกที่เค้าจะทำกำไร โดยการขายหุ้นไทยออกไปบ้าง(อย่างที่เห็น)
แต่ข่าวดี คือ หลังสงกรานต์เปิดมา ฝรั่งขายน้อยลง แถมกลับมาซื้อเล็กๆ position ใน future ก็ไม่ได้ S หนักๆแล้ว แต่ก็ต้องดูต่อไป เผื่อเปลี่ยนใจอีก T_T

เขียนมาตั้งยาว อ่านแล้วคงงงว่าอยากสื่ออะไร เอาเป็นสรุปว่า ความเห็นส่วนตัวตลาดไทยตรงนี้ น่าลุ้นได้ไปต่อ (เมื่อมองจากกราฟ set อย่างเดียว) แต่ถ้าใครมี position แล้วอาจจะนอนไม่ค่อยหลับเวลาดูดาว(โจนส์)ตอนกลางคืน ต้องคอยลุ้นในตลาดไทยเป็นไท Decouple กับตลาดฝากตะวันตก ซึ่งดู weak ลง

สิ่งที่น่าจะช่วย support (เอ๊ะ หรือซ้ำเติม) ตลาดได้ตอนนี้ก็คงเป็น earnings Q1 ที่กำลังออก ซึ่งคราวนี้ก็คงจะได้เช็คสุขภาพของบริษัทว่าเก่งจริงสมกะราคา premium ที่ได้หรือไม่ บริษัทใดเป็นของจริง คาดแล้วได้ดังหวังหรือไม่ :)

15/4/56

เตรียมการบ้านกะ NN : 15 เม.ย. 56 Sell in May?

สวัสดีวันปีใหม่ไทยคะ ช่วงนี้บ้านเราหยุด ตลาดก็ปิด แต่ตลาดต่างประเทศไม่ปิด Money never sleeps ...เราไม่ได้ไปไหน อยู่เฝ้ากทม. ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้มาก กลัวโดนสาดน้ำ มาเตรียมการบ้านรอตลาดเปิดวันพุธกันดีกว่า :D

จากความเดิมในบล็อคก่อนหน้า ดูเหมือนว่า SET จะทำ bullish divergence ได้จริง แต่ว่า volume ตลาดน้อยไปหน่อยนะ (เวลาขึ้นแล้ว Volume ไม่ได้เยอะ นี่มันดูไม่ค่อย confirm สัญญาณเท่าไร)  MACD ยังอยู่ในแดนลบ ATR ลดมาจิ๊ดนึงแต่ก็ยังสูงอยู่
แล้วก็ดูเหมือน SET จะอยู่ในจุดวัดใจอีกแล้ว มายืนเหนือเส้น moving average ได้ แต่พอมาดู fibo ชนแนวๆเดิมอีกแล้ว ดูเหมือนว่าถ้ายืนเหนือจุดนี้เพื่อไปด่านต่อไปแถวๆ 1550 >> 1570 ได้ เพื่อไปลุ้น test high เดิม ก็ดูจะเหนื่อต่อ
ถ้าทำได้ก็ดูจะเป็นภาพ W shape ได้ อยากลุ้นให้เหมือนช่วงปีก่อนเหมือนกัน
แต่ถ้าเปิดมาแล้วยืนเหนือจุดนี้ไปไม่ได้ รู้สึกเล่นขาลงจะมีลุ้นมากกว่ายังไงก็ไม่รู้ T_T

พอมาดูวันที่ เราก็ใกล้ก้าวข้ามผ่านไปสู่เดือนที่ 5 ของปี หลายๆคนน่าจะเคยได้ยิน anomaly เกี่ยวกับ Sell in May and go away....บ้างต่อท้ายด้วยว่า Dunt come back until St Leger Day
ปีที่แล้ว Global Sell Off ตลาดลงทั่วโลกกันก็ช่วงเดือนพ.ค.ตลาดไทยก็เช่นกันลงไป 7.08% ถ้าวัดที่ low ที่สุดลงไป 10.33% ....เมื่อคนกลัวมากกว่าคนกล้า (วัดอารมณ์จาก Greed and Fear index ของ CNN)
ถ้าจำไม่ผิด ปัจจัยที่ทำให้ตลาดลงเช่นนั้่นก็มาจาก
  • ปัญหาหนี้ยุโรป - กลัว contagion จากกรีซ การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ความต่อเนื่องของนโยบายรัดเข็มขัด และประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างสเปนและอิตาลีปัญหาเริ่มส่อเค้าชัดเจน เกรงปัญหาเรื่อง bailout แบงค์ในสเปน bond yield กระฉูดถึงกับแตะ trigger ที่ 7% ซึ่งเป็น critical level 
 
  • กลัวเศรษฐกิจสหรัฐจะชลอตัวลง - initial jobless claims กระฉูด manufacturing ถดถอย GDP revised down
  • กลัวเศรษฐกิจจีนจะชลอตัวลง -ในไตรมาส 2 เป็นครั้งแรกที่ GDP จีนน้อยกว่า 8%
เห็นแล้วก็รู้สึก Dejavu ยังไงก็ไม่รู้ T_T เมื่อเช้าจีนประกาศตัวเลข GDP ออกมา 7.7% ต่ำกว่า 8% และต่ำกว่าคาดด้วย  ตามต่อด้วยปัจจัยสำคัญที่น่าจะ shaking ตลาดได้ก็คือ debt ceiling US ที่จะ deal ในวันที่ 19 พ.ค. ...........Will history repeat itself? 

เหตุที่เราคอยติดตาม economic indicator ทั้งหลาย เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ direction ของตลาดทั้ง Bearish/Bullish (แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าตลาดหุ้นนี่แหละที่เป็น leading indicator ของ economy แต่ที่คนมักจะมาดูตัวเลขที่ประกาศจริงว่าออกมาว่าเป็นไปตามคาด แย่กว่าคาด ดีกว่าคาดหรือไม่ก็เพื่อ revise ตัวเลข forecast) รวมถึงตัวเลขพวกนี้เป็นเครื่องชี้วัดสุขภาพของเศรษฐกิจจริงๆ ว่าฟื้นตัวมากน้อยแค่ไหน... ตอนนี้โลกเป็น globalization and connecting กันไปหมด Global trade ก็มากขึ้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะ decouple กันโดยสมบูรณ์ บ้านเค้าแย่ บ้านเราจะไม่แย่ตามไปด้วย  นอกจากนี้ปัจจัยเหล่านี้ก็ช่วยให้เราเลือกจัด asset allocation ได้อีกส่วนหนึ่ง....แต่มองภาพใหญ่ให้ออก นี่ยากจริงๆ T___T

ตอนนี้ที่ hot hit กันในช่วงสงกรานต์บ้านเราคงไม่พ้นราคาทอง 2 วันลงไป 150$... คิดเป็นเงินบาทง่ายๆก็เอา GOLD in $ * USDTHB * 0.4729 ...นานเท่าไรแล้วที่เราไม่ได้เห็นทองไทยต่ำ 20,000 บาท สงสารก็แต่คน L ไว้นี่แหละคงจะจุกไม่ใช่น้อย ตลาดก็ปิด ทำอะไรก็ไม่ได้...และเป็นอีกครั้งที่ป๋า Soros แม่นอีกแล้ว
"Gold was destroyed as a safe haven, proved to be unsafe"- Soros
 
 ไม่ใช่แค่ทอง แต่ Commodities Sell Off ทุก assets มาก แดงแทบทั้งกระดานจริงๆ
ผู้บริโภครายใหญ่ของโลกอย่างจีน GDP ออกมาน่าผิดหวัง ราคา commo เลยตอบสนองอย่างที่เห็น ....จริงๆ ทุกสินทรัพย์แหละที่ราคาเป็นเรื่องของ Demand และ Supply + Speculation or Expectation ....Commodities ถูก Inflated price ขึ้นไปตามจากการอัดฉีดเงินของรัฐบาลกลางทั่วโลก แต่จะเห็นได้ว่าการปั๊มเงินครั้งหลังๆไม่ได้มีผลกระตุ้นเหมือน QE1 และ 2 อีกต่อไป (ส่วนนึงคงเป็นเพราะรูปแบบของการอัดฉีดเงินและสภาพเศรษฐกิจจริงๆด้วย ณ ตอนช่วงเวลานั้นๆ)  เมื่อ Speculation or Expectation ลดลง ราคาก็ถูก discount ลงมา เป็นเรื่องธรรมดา

"Overcoming fear is easier said than done. There is no comparison between fear and greed. Fear is instant, pervasive and intense. Greed is slower. Fear hits." Buffet

ถ้าไม่รู้จะกล้า หรือ จะกลัว ก็อยู่เฉยๆดีกว่า...เรายังเชื่อใน It's all in chart รอตลาดเฉลยและเลือกทางก่อน เมื่อไรปัจจัยส่วนใหญ่ Favor เข้าทาง หุ้นผ่านเข้าระบบมากขึ้นเอง...ที่เหลือ ก็คือใจของตัวเรานี่แหละ ตอนนี้ต้องรู้จักอดทนและรอให้เป็นก่อน :)

13/4/56

รีวิว แกะกล่อง Nespresso U

ใครเป็นคอกาแฟบ้าง คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ Nespresso มาไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับกิตติศัพท์ด้านรสชาติ เราก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบทานกาแฟมาก (แม้จะไม่ได้อินกับ detail ในรายละเอียดของการละเมียดจิบกาแฟเท่าไร แต่ใจรักจะทาน) เนื่องด้วยได้โอกาสซือเครื่อง Nespresso U มาใหม่ เลยมารีวิวแกะกล่องกันดู เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนกำลังตัดสินใจจะซื้อ

เครื่องนี้ต้องขอบคุณเพื่อนคนนึงมากที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้จากสิงคโปร์ (ที่ต้องขอบคุณมากๆ เพราะมันหนักราวๆ 3.5 กก. T_T) ราคาที่โน่นถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยพอสมควร ราคาขายที่สิงคโปร์ คือ 288 SGD หรือตกเป็นเงินไทยก็ราวๆ 6,800 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน SGD/THB 23.5) แถมโชคดีมากๆ ตอนที่เพื่อนไปมีโปรโมชั่นลดราคาอีก 60 SGD พอดี

Nespresso U เป็นรุ่นใหม่ของ Nespresso ที่เพิ่งออกมา ราคาย่อมเยาว์สุด ขนาดเล็กสุด เท่าที่ลองเปรียบเทียบคุณสมบัติไม่ด้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ที่ออกมาราคาต่ำลง เพราะต้องการทำราคาให้ถูกลงเพื่อที่จะได้เจาะตลาดได้มากยิ่งขึ้น

มาแกะกล่องเครื่องกัน
หน้าตาเครื่อง จริงๆก็มีหลายสี แต่เราเลือกสีขาว หน้าหน้ากล่องจะมีแปะ serial number มาให้ ก็อย่าแกะทิ้งหละ เก็บไว้เพราะเครื่องมีประกัน
ในกล่องก็จะมี Nespresso capsules grand crus tasting gift แถมมาให้ด้วย 16 สี 16 รสชาติ หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
  1. Espresso
  2. Pure Origin Espresso
  3. Lungos
  4. Decaffeinated
 
ในใบด้านบนจะมีแนะนำให้ว่าแบบไหนควรชงแบบ Espresso/Lungo/Milk recipe

แล้วก็มี Nespresso welcome folder
User Manual
 แกะกล่องดูแล้ว มาลองใช้กันดีกว่า
เติมน้ำใส่ water tank จะเห็นได้ว่า water tank จะมาสามารถหมุนได้ จะไว้ซ้าย ขวา กลางหลังตัวเครื่องก็ได้ แล้วแต่เราจะจัดวางให้เหมาะกะพื้นที่่ห้องครัวของเรา
Cup support และ drip grid สามารถถอดได้ อันนี้เป็น magnetic ถ้าแก้วเราสูงเกินก็ถอดออกมาได้
หัวปลั๊กเป็นแบบนี้ไม่ใช่ปลั๊กแบบไทยเลยทีเดียว ต้องหาตัวแปลงก่อน
หลังจากเสียบปลั๊กแล้ว ไฟเขียวจะกระพริบช่วง warm เครื่องประมาณ 20 วินาที (ไวใช้ได้) หลังจากนั้นเราก็กดปุ่มชงกาแฟได้เลย จะเห็นว่ามีปุ่มให้เลือก 3 ปุ่ม ตามขนาดแก้ว
  • ปุ่มใหญ่สุด ชงแบบ Lungo 110ml
  • ปุ่มกลาง ชงแบบ Espresso 40 ml
  • ปุ่มเล็ก ชงแบบ Ristretto 25 ml
เลือกได้ตามใจชอบ กดค้างไว้ 3 วินาที ตัวเครื่องจะมีระบบจำว่าเราชงแบบไหนบ่อยสุด
จากนั้นก็เตรียม Capsule เพื่อชง
วันนี้ลองเป็น Ristretto - intensely roasted, fruity, lightly acidic, full bodied เข้มสุดเลยระดับ 10
วางไปในช่องใส่ capsule ตามรูป
 เลื่อนกดปิด
เครื่องจะทำงานทันที
Crema ชัดๆ ^^
 เสร็จแล้ว Ristretto - Lungo size
มาลองเปิด drip tray ดูก็จะเห็น used capsule
สรุป ใครชอบกาแฟสด ก็น่าจะชอบนะ รสชาติอร่อยจริงๆ ระหว่างชงนี่กลิ่นกาแฟหอมไปทั้งบ้าน ถ้าชอบทานร้อนไม่เป็นปัญหาเลย ส่วนถ้าใครชอบทานแบบเย็นอาจจะต้องลองผิดลองถูก ปรับปรุงสูตรกันไป เครื่องวอร์มเร็วมาก ชงกาแฟหนึ่งแก้วอร่อยๆยามเช้าได้ง่ายๆและสะดวกมาก ราคาค่าเครื่องอาจจะไม่แพงมากเมื่อเทียบกับเครื่องชงกาแฟอื่นๆ แต่ capsule ต้องใช้ของ Nepresso เท่านั้น ตอนนี้ในไทยมีขายแล้วก็ไม่ได้หาซื้อลำบากมาก แต่น่าจะเปลืองตรงค่า capsule นี่แหละ ตกแก้วนึงก็ 30 บาท (ถ้าซื้อจากต่างประเทศอาจจะราคาถูกกว่านี้)....ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการทานกาแฟที่บ้าน ที่ง่าย อร่อย สะดวก ไวทันใจคะ :)