จุดเริ่มต้นของทริปเที่ยวญี่ปุ่น 9 วันนี้ ก็เกิดจากการที่การบินไทยออกโปรไปญี่ปุ่นในราคาย้ำยวนใจมาก บิน Full services ในราคาแค่ประมาณ 17xxx ไม่จองไม่ได้ ทริปใจง่ายก็เลยเกิดขึ้น แล้วเนื่องจากเค้าให้บินสนามบินนึงกลับอีกที่นึง เราเลยเลือกที่จะไปลง Narita แล้วกลับที่ Kansai แผนการท่องเที่ยวคร่าวๆเลยเป็นประมาณนี้
Day 1 : BKK - TOKYO
Day 2 : TOKYO
Day 3 : TOKYO - KAWAGUCHIKO
Day 4 : KAWAGUCHIKO
Day 5 : KAWAGUCHIKO - OSAKA
Day 6 : OSAKA - KOBE - OSAKA
Day 7 : UNIVERSAL STUDIO JAPAN
Day 8 : OSAKA - KYOTO - OSAKA
Day 9 : OSAKA - BKK
มาเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันดีกว่า flight บินของเราก็เป็น TG676 BKK-NARITA ใช้เวลาบินรวมทั้งสิ้น 5 hours 50 mins เครื่องออกจากกรุงเทพ 8.00 ก็จะไปถึงนาริตะ 15.50 บนเครื่องเราลองสั่งอาหารเป็นแบบ Low Calories Meal หน้าตาก็เป็นงี้ ก็อร่อยดีนะคะ
พอไปถึงนาริตะ ตอนเข้าเมืองนี่ง่ายมาก ไม่มีถามใดๆ ไม่ขอดูเอกสารใดๆ ไปถึงปั๊มให้เลย จากนั้นเราก็มารอกระเป๋า แล้วก็เตรียมตัวเข้าเมือง เนื่องจากเราพักแถวย่าน Shinjuku วิธีการเข้าเมืองเราก็เลยเลือกที่จะใช้ NEX หรือ Narita Express train to JR Shinjuku Station ไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ได้เลยคะ โชว์ passport ตอนนี้เค้ามีส่วนลดให้นักท่องเที่ยวเหลือเที่ยวละ 1500 YEN ถ้ากดตั๋วเองที่ตู้กดไม่ได้ลดราคานะคะ
ตอนซื้อตั๋ว ก็บอกพนักงานว่าจะไปลง Shinjuku เค้าก็ให้ข้อมูลดีว่าเราจะเลือกขึ้นเวลาใด ถ้าขึ้นเวลานี้จะต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานีนี้ ถ้าขึ้นเวลานี้ก็เป็น direct train ไม่ต้องเปลี่ยนไปลง Shinjuku เลย ส่วนเราเพื่อความง่ายก็เลือกขบวนที่ไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟ ระยะเวลาการเดินทางโดยใช้ NEX จาก Narita ถึง Shinjuku ก็ประมาณ 1.30 ชั่วโมง
ตอนที่ซื้อตั๋ว NEX ก็เลยซื้อ SUICA ไปด้วยเลย เพื่อใช้เดินทางสำหรับการเที่ยวโตเกียว บัตรนี้เหมือนประมาณ octopus card ที่ใช้ในฮ่องกง ซื้อของ ขึ้นรถไฟ รถใต้ดิน รถเมล์ได้ บัตรใช้ได้ในเขตโตเกียวและก็คืนเงินคงค้างที่เหลือได้ แต่ต้องคืนภายในเขตโตเกียวนะคะ
รถไฟมาหละ ภายในรถ สำหรับคนกระเป๋าใหญ่ๆเอาขึ้นไปวางบน rack ด้านบนไม่ได้ ก็ต้องใช้วางไว้ด้านหน้าแทน (เค้าจะมีที่ล็อกกระเป๋าไว้ให้)
จากนั้นเราก็เดินทางเข้าสู่ที่พัก ซึ่งคราวนี้พักที่ Best Western Shinjuku Astina Hotel Tokyo ตามอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ วันแรกที่มาถึงนี้ ปรากฏว่ากว่าจะเดินทางเข้าเมือง ถึงที่พักก็มืดแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายก็ออกไปกินข้าวเย็นกัน เลือกทานที่ Sushi Zanmai ซึ่งใกล้ที่พักมาก เดินไปจากโรงแรมประมาณ 3 blocks ร้านนี้เค้าเปิด 24 ชม.กันเลยทีเดียว ตอนที่เราไปถึงโต๊ะ non smoking area เต็ม รอนานมาก สุดท้ายมันดึกแล้วรอไม่ไหว ก็ยอมนั่ง smoking area พอไหวนะ มันไม่ได้มีใครสูบบุหรี่ที่โต๊ะมากมาย
เมนูๆ
ปลาไหล นี่ชิ้นยาวมากก
ปลาไข่ทอด อันนี้อร่อยดี
จัดกันคนละเซ็ทให้หายอยาก
ตบท้ายด้วยซุป ชามใหญ่มาก
ค่าเสียหายสำหรับทานกัน 4 คน ถูกมากถ้าเทียบกะกินที่ไทย ร้านนี้คนไทยมากินเยอะ มันเป็น chain sushi คุณภาพดีกว่าราคาที่จ่ายไปนะ รสชาติใช้ได้
ข้างๆกันมี supermarket เลยแวะซื้อสตรอเบอรี่ไปทาน หวานฉ่ำ อีกอย่างนึงที่อร่อย คือ องุ่นไร้เมล็ดสีเขียว (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้) มาเมืองหนาว ต้องจัด เพราะที่กทม. แพงเหลือเกิน
=======================================================================
วันที่สอง เราก็เริ่มต้นทริปด้วยการไปไหว้พระที่วัด Sensoji Temple หรือที่คนไทยมักจะเรียกว่า asakusa kannon temple ด้วยความผิดพลาดทางการเดินทางเล็กน้อยจริงๆเราควรจะไปลง metro ที่ asakusa station เลย แต่ปรากฏว่าลงเร็วไปหนึ่งป้าย แต่ก็กลายเป็นความผิดพลาดที่ดี เพราะจากสถานีที่ลง เราเลยได้เดินเลียบแม่น้ำ Sumida river ชมวิว azumabashi bridge ไปได้ตัว
asahi tower and tokyo sky tree
ก่อนจะเดินเข้าไปถึงวัด ก็ต้องผ่าน Nakamise Dori ถนนช็อปปิ้ง ละลานตามาก ผู้คนก็มากมายเช่นกัน
เจอสัญลักษณ์ของวัดที่ใครๆก็ถ่ายรูปกะเจ้าโคมแดงนี้
บรรยากาศภายในวัด
เข้าไปไหว้พระด้านใน
Gojunoto เจดีย์5ชั้น
ช่วงที่ไปเป็นช่วงใบ้ไม้เหลืองแดงพอดี วัดก็สวยงามไปอีกแบบ
หลังจากไหว้พระอะไรเสร็จแล้ว ก็มาซื้อ Kagetsudo เมลอนปัง ซึ่งคนต่อแถวรอเยอะมากกกก
เราว่ารสชาติก็เฉยๆนะ
เดินออกจากวัดมา ออกมายังNakamise Dori ถนนช็อปปิ้ง เส้นเดิม แล้วเลี้ยวขวาไป เดินไปมั่วๆ เพื่อหาร้านอาหารกลางวันทาน ปรากฏว่าไปเจอร้านนี้ KATSUKICHI หมูทอด Tonkatsu ที่อร่อยมากกกกกกกก
ร้านเค้าเปิดมา 43 ปีแล้วเมนูๆ พนักงานพอพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้การสื่อสารไม่ลำบากนัก
ในร้าน ดูท่าจะออกทีวีมาเยอะ
ชาๆ
เรา 4 คนสั่งเหมือนกันหมด miso cutlet ตอนแรกคิดว่าเค้าจะแยกมาให้เป็นคนละชุด ปรากฏว่ามารวม รู้งี้สั่งหลายๆแบบมาแชร์กันดีกว่า
หมูจะเหมือนเป็นชาชู มาพันๆ เลยนิ่มมากตอนทาน
ไม่ต้องจิ้มอะไรเลยก็ได้ จริงๆแล้วมันก็เค็มอยู่แล้ว (โดยรวมเราว่าอาหารที่ญี่ปุ่นนี่หนักเค็มกันทุกเจ้า) แต่ถ้าใครอยากจิ้ม เค้าก็มี homemade sauce ให้ ร้านนี้ราคาจะสูงหน่อย แต่อร่อยเลิศ
จากนั้นเราก็จะไปสวน Rikugien กัน ไหนๆก็มาช่วง Autumn แล้ว ขอชมบรรยากาศใบไม้แดงนิดนึง การเดินทางก็ลงสถานี KOMAGOME จากนั้นก็เดินประมาณ 10 นาทีเพื่อไปยังสวน ค่าเข้าคนละ 400 เยน
ถ้าดู map จะเหมือนว่าสวนใหญ่มาก จริงๆ ก็ไม่ใหญ่เท่าไร เดินแป๊บเดียวก็หมดดีใจที่มาทีนี่ เพราะเราช่วงปลายของใบไม้ร่วงแล้ว ตลอดทริปที่นี่เห็นใบไม้แดงเยอะสุด ไปที่อื่นๆนี่ก็เริ่มโรยลาไปหมดหละ หรือไม่ก็มีน้อย
ต้นนี้ใหญ่มากๆ
Fujishirotoge viewpoint
maple
สารพัดสีจริงๆ
Fukiage Chaya teahouse
ogetsukyo Bride
แปะก๊วย
ออกมาก็แวะ lawson ชอบจัง starbucks drink แบบนี้ ราคาน่าคบหาด้วยอีกต่างหาก
จากนั้นเราก็ไป shopping ต่อแถวๆ GINZA
แล้วก็ทานมื้อเย็นที่ Kani Doraku อันนี้ก็เป็น chain restaurant เหมือนกัน วันนี้เราทานที่สาขา Ginza
ร้านนี้อาหารมีแต่ปู
croquette
ปูขนนึ่ง
เจ้าตัวใหญ่ที่เราเลือกมาหละ ทั้งตัวมาทำเป็นอาหารได้หลายจานมาก อันนี้ย่าง
กระดองไข่ปู
ซาชิมิ แต่มันไม่ work หละ คือ มันมีเหมือนเอ็นๆของปูที่ทำให้เหนียวเวลาทาน สุดท้ายเลยเปลี่ยนให้เค้าไปย่างมาแทน
แบบทอด อร่อยมาก ชอบพอๆกะย่างเลย
ขนมจีบปู
จบมื้อนี้ เรียกได้ว่าเอียนปูกันไปเลยทีเดียว
เดินจาก GINZAมานิดนึงมาที่ SHIODOME station ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ x'mas ในโตเกียวตามที่ต่างๆก็จะมีจัด winter illumination เค้าก็โชว์ไฟสวยงามมาก
เราเป็นพวกแมงเม่า หลงแสงสี เห็นไม่ได้ ชอบ 55 จาก shiodome เลยนั่งรถไฟไปต่อกันที่ Tokyo midtown ซึ่งเป็นอีกหนึ่งที่ที่จัด winter illumination พอถึงตรง midtown แล้วต้องเดินออกไปตรง garden จากตรงสะพานมองไปเห็น tokyo tower ด้วยหละ
ที่นี่ไฟโชว์อลังการกว่าที่ shiodome แต่ลงไปถ่ายรูปได้ไม่ใกล้ชิดเท่า
จบแล้ว สำหรับ 2 วันในโตเกียว เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปเที่ยว Kawaguchiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น