เมื่อช่วงเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว เราก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวโอซาก้ามา ตามอ่านรีวิวเก่าได้ตามลิงค์คะ
สืบเนื่องจาก เราจะไปวิ่ง Osaka marathon 2015 (ใครสนใจเรื่องวิ่งเหมือนกันตามไปอ่านเก็บตกบรรยากาศได้ตาม link คะ) ก็เลยได้มีโอกาสไปเที่ยว Osaka อีกครั้ง แต่รอบนี้ไปสั้นมากๆเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น (ไม่นับวันเดินทาง) มาดูกันว่าเวลาสั้นๆที่นั่นเราทำอะไรได้บ้าง
-----------------------------------
วันที่ 1
รอบนี้เราไปกะหางแดง เป็นครั้งแรกเลยที่ไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง ตั้งแต่เค้าเปิดสนามบินดอนเมืองกลับมาใช้ใหม่ การเช็คอินกะ airasiax ก็วุ่นวายดีแท้สำหรับนั่งครั้งแรกอย่างเรา เคาน์เตอร์ไม่มีป้ายบอกอะไร อย่าไปเข้าแถวเช็คอินรวมกะ airasia ธรรมดาหละคะ มัน operate โดยคนละคน แม้จะเป็นบริษัทในเครือๆเดียวกันก็ตาม เมื่อเช็คอิน ผ่านจุดตรวจแล้ว เราก็เข้าไปในโซนของ commercial area กัน ต้องยอมรับว่าดอนเมืองก็พัฒนาตรงนี้ขึ้นมากทีเดียว แม้จะไม่มี brand inter จ๋าอย่างสุวรรณภูมิ แต่ใครอยากซื้อพวกเครื่องสำอาง น้ำหอมที่นี่ก็มีครบ ขาดแต่พวก designer brand ที่ไม่มีช็อปมาเปิด รอบนี้ก่อนขึ้นเครื่อง เราก็ไปนั่งรอที่ starbucks สาขานี้แอร์ร้อนมากก แต่วิวดีนะจากนั้นก็ไปรอที่ gate คะถึงเวลาออกเดินทางกันแล้ว airasiax นิดีกว่าคาดนะ ขนาด economy เราผู้ซึ่งขายาวมาก นั่งแล้วขายังไม่ชนเก้าอี้ข้างหน้า ถือว่าให้ผ่านด้าน space ...ที่ประทับใจสุด คือ เค้าพยายามทำให้บรรยากาศเป็นกันเองมาก ดูผ่อนคลาย ตอนประกาศอะไรปล่อยมุกตลอด รอบที่เราไป คุณทรายสีเพลิงเป็นคนประกาศ ชอบมาก ขอชมเชย บนเครื่องมีขายตั๋วต่างๆด้วย เช่น รถไฟ/บัสเข้าเมือง USJ KAIYUKAN ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งก็ถึงสนามบิน ไม่ดีเลย์นะ แต่เนื่องด้วยคนเยอะมาก กว่าจะได้ออกมาจากสนามบินจริงๆก็ 5 ทุ่มครึ่งได้ ซึ่งรถไฟก็ไปไม่ทันหละ เพราะฉะนั้นใครจะไปหาแดงรอบบ่าย 3 ซึ่งถึงโอซาก้าประมาณ 4 ทุ่มครึ่งก็ต้องพึ่งรถบัสเข้าเมืองเท่านั้น เดี๋ยวนี้สะดวก เค้าขยายมี night shift bus แล้ว
การเดินทางก็แสนง่าย ออกจาก terminal 1 มาก็มองหา bus stop no.5 ...จริงๆออกมาก็เจอเลยคะ หาง่ายมากๆการซื้้อตั๋วก็มากดหยอดซื้อที่ตู้อัตโนมัตินี้ได้เลย มี Tips นิดนึง ควรจะส่งเพื่อนไปต่อคิวที่รถบัสและให้บางคนไปซื้อตั๋วคะ เพราะคนขึ้นเยอะมาก ถ้ารถบัสมาแล้วไม่พอ นี่ต้องรอคันต่อไป ซึ่งจะกินเวลานานพอควร ดึกแล้ว คงไม่มีใครอยากรอนานเท่าไร ค่าโดยสารเราซื้อแบบไปกลับก็ 2760 เยน ถ้าขาเดียว 1550 เยน เราว่าไปกลับโดยรถบัสก็สะดวกดี ตรงไม่ต้องลากกระเป๋า เดินขึ้นลงเอง ถ้าใครพักใกล้จุดขึ้นลงรถบัสแนะนำเลยคะ สะดวกดี แต่ต้องไปและกลับภายใน 14 วันนะ เราไปลงกันที่ Herbis osaka เพื่อพักที่ Hotel Granvia (ตามอ่านเพิ่มเติมได้ใน link)ไปถึงโรงแรมก็ดึกมากแล้วคะ ตีหนึ่งกว่าได้ แต่ก็หิวมาก มื้อแรกเราเลยออกมาหาอะไรกิน ตอนแรกกะว่าจะหากินง่ายๆร้านสะดวกซื้อ แต่เดินไปเดินมา จบที่ Yoshinoya แทน
-----------------------------------
วันที่ 2
วันนี้เราซื้อตั๋ว Osaka amazing pass แบบ 2 วัน ซึ่งใช้เดินทางโดย Metro ได้อย่างไม่จำกัด (แต่ไม่รวม JR) แล้วก็สามารถใช้เป็นบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆที่เข้าร่วมได้ รวมถึงใช้เป็นส่วนลดสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวบางอย่างได้เช่นกัน แต่ต้องใช้ 2 วันติดกันนะคะ ราคาก็ 3000 เยน เราซื้อที่ information center ที่อยู่ตรง osaka station เลย ตั๋วพร้อม เราก็พร้อมเดินทางกันคะจุดมุ่งหมายแรกของเรา เติมพลังกันที่ Endo Sushi ก่อนเลย ที่ ตลาดปลาโอซากา (Chuo Oroshi-uri Ichiba นั่ง Metro ลงสถานี Tamagawa แล้วออกทางออก Exit 3 รอบนี้เราไปรอคิวนานทีเดียวคะ เข้ามาด้านใน บรรยากาศคุ้นเคย ไม่เปลี่ยนไปจากรอบก่อนรอบนี้ เมนูจากเดิมที่เคยมีเป็น set กำหนดมาให้แล้วว่าใน set มีอะไรบ้าง รอบนี้เปลี่ยนเป็น Omagase เราเลือกได้ 5 คำ ตามของที่เค้ามีให้รวมใน set ถือว่าดีทีเดียว เลือกอย่างที่ใจชอบได้เต็มที่อันนี้ที่เราสั่ง ซูชิข้าวอร่อย หน้าล้นอย่างที่เห็นเค้ามีซอสให้ทาเองด้วย แล้วก็ขิงทานแก้เลี่ยนหรือเอาไว้เปลี่ยนรสชาติ เวลาทานปลาชนิดนึงแล้วอยากไปทานอีกชนิดนึง รวมๆจัดไป 4 จาน แล้วก็มีซุปมิโสะอีกหนึ่ง ที่นี่เค้าใส่หอยมาด้วย รสชาติเข้มข้นทีเดียว ค่าเสียหายมื้อนี้ 6180 เยน รู้สึกว่าราคาต่อเซ็ทจะแพงกว่ารอบก่อนอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกะทานซูชิที่ไทยในร้านอาหารระดับคุณภาพเดียวกันก็ต้องบอกว่าถูกกว่าเยอะระหว่างเดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ไม่พลาดถ่ายกะฝาท่อโอซาก้า ฉันมาถึงโอซาก้าแล้วจริงๆจากนั้นเราไปรับ bib วิ่ง เวลาเที่ยงหายไปอีกประมาณ 3 ชั่วโมง .....พอเสร็จภารกิจแล้วเรามุ่งหน้าสู่ Kaiyakun ซึ่งเป็น Aquarium ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Okinawa คะ การเดินทางก็นั่งรถไฟไปลงที่ Osakako Station จากนั้นก็เดินซักประมาณ 5-10 นาทีก็จะไปถึง Kaiyakun ค่าบัตรเข้าชม 2300 เยน แต่ใช้ osaka amazing pass จะได้ลดค่าเข้า 100 เยน เหลือคนละ 2200 เยนเข้ามาถึง zone แรกจะเป็น ประตูปลาฉลามคะ แค่ทางเข้าก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจแล้วถัดมาจะเป็นสวนญี่ปุ่น ที่นี่เค้าจัดได้เก๋มาก ตรงที่ด้านบนจะเป็นโซนบนบก แต่ด้านใต้ก็จะเป็นแท้งค์ของสัตว์น้ำ ทำให้ดูกลมกลืนดีไฮไลท์สำคัญ คือ เจ้าฉลามวาฬ เค้ามีเวลาให้อาหารฉลามวาฬด้วย ลองเช็ครอบกันดูุคะ ถ้าใครอยากไปทันเห็นเค้าให้อาหารโลมาก็มีนะเพนกวิ้นอื่นๆ ขอไม่บรรยาย เพราะกลัวเรียกผิด ><เดินออกไปด้านหน้า มีกวิ้นๆ อีกพันธ์ุนึงให้ดูอย่างใกล้ชิดใครอยากสัมผัสเจ้าปลากระเบน ปลาดาวก็สามารถทำได้ ข้อห้ามเดียว คือ ห้ามยกเค้าขึ้นมาเหนือน้ำนะคะ ก่อนจะออกไป ก็มีจุดขายของที่ระลึก โดยรวมแล้ว เราชอบ Okinawa Churaumi มากกว่าแหะ รู้สึกว่าแท็งค์ใหญ่ที่ใส่เจ้าปลาวาฬไว้มันดูขลังกว่า มองเพลินกว่า ที่ Kaiyukan นี้ตู้จะเล็กกว่าด้านแคบ แต่เค้าทำพื้นที่เหมือนเดินวนดูรอบตู้ได้สามชั้นเลย ตลอดทางลงจะเห็นตู้ใหญ่นี้ตลอด แต่ส่วนที่ดี ของที่นี่ คือ จัดสวน display สวยดี พยายามผสมทั้งบกและน้ำ แล้วก็มีเจ้าแมวน้ำเยอะ เวลามันอ้อนผู้ชมน่ารักดี เสร็จจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนี้ เราจะไปต่อกันที่ Santa Maria Cruise ซึ่งอยู่ติดๆกันกะKaiyukan เลยและบัตรเบ่ง Osaka amazing pass ของเราก็นั่งเรือได้ฟรี แต่ปรากฏว่ารอบที่นั่งฟรี คือ ต้องก่อน 4 โมงเย็น ซึ่งเราไปหลังจากนั้นมันไม่ฟรีแล้วก็เลยบายไม่ได้นั่งไป แต่เอารูปบรรยากาศ Osaka bay มาให้ชม เมื่อพลาดจากตรงนี้เราก็มุ่งหน้าไปยัง Tempozan Ferris Wheel ซึ่งอยู่ติดๆกันนั่นแหละ (จริงๆทางที่เดินมาจากสถานีรถไฟ จะถึง Tempozan Ferris Wheel นี้ก่อนที่จะไปถึงAquarium แต่เราเลือกที่จะไป aquarium ก่อนเพราะจะใช้เวลาที่นั่นนานกว่า) บัตร osaka amazing pass ก็สามารถขึ้นกระเช้าที่นี่ได้ฟรีเลย รวมอยู่ในค่าบัตรแล้ว ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อบัตร ขึ้นไปชั้น 3 ได้ทันที ค่าบัตรที่นี่ถ้าไม่มีบัตรเบ่งก็ 800 เยนกอันนี้ก็เหมือนชิงช้าสวรรค์บ้านเราเลย :D กระเช้ามีให้เลือกสองแบบนะคะ ใส กะไม่ใส ไอ้เราก็เลือกแบบใส ก็เลยรอคิวนานมาก ประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะกระเช้าแบบใสมีน้อยกว่า กว่าจะวนมาถึงก็ใช้เวลานาน พอได้ขึ้นกระเช้าใสแล้ว ก็รู้สึกว่าจริงๆไม่ต้องรอคิวนานขนาดนี้ก็ได้ มันใสแค่นี้ แนะนำว่าถ้าคนอื่นจะมาลองขึ้น ขึ้นแบบธรรมดาก็พอคะ เมื่อชดเชยกะระยะเวลาที่รอคิว น่าจะคุ้มค่ามากกว่าทางความรู้สึกวิวจากด้านบน เห็น osaka bay / kaiyukanพอลงมาถึงด้านล่างก็มืดแล้ว เปิดไฟแล้วก็สวยไปอีกแบบ ที่นี่เค้ามี legoland ด้วย จึงมีเจ้าหุ่นยีราฟเลโก้มาโชว์ตัวด้านล่าง เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องไปวิ่งโอซาก้ามาราธอน ก็เลยกลับที่พักกันไว ตัดสินใจว่ามื้อเย็นก็หาซื้ออาหารที่ supermarket DAIMARU ที่อยู่ติดกับโรงแรมเอา มาทานที่ห้องพัก อร่อยทุกอย่างเลยยขอบอก แถมตอนเย็นเค้ามีลดราคาด้วย ส่วนร้าน 551 ที่เห็นนั้นคนเข้าคิวเพียบ
-----------------------------------
วันที่ 3
วันนี้เป็นวันที่เราไปวิ่งมาราธอน ก็หมดไปอีกครึ่งวันเช้าที่ไม่ได้ไปไหนคะ พอวิ่งเสร็จกลับมาก็จัด pablo cheesecake เลย 555 ร้านอยู่ตรงสถานี JR osaka เลย ใกล้ๆกับ Daimaru ตรงทางเดินไป Metro สาย Midosuji line หลังจากกลับมาพักเรียบร้อย เราก็ไปลุยแถว Shinsaibashi กันต่อคะ เดินผ่านเห็นร้านกาแฟหน้าตาดี เข้าไปลอง แต่ปรากฏว่ารสชาติไม่ผ่านเลยยยย่านนี้จัดเป็นย่านช็อปปิ้ง คล้ายๆสยามสแควร์บ้านเรา มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ....เรามาที่นี่เพราะจะมานั่ง Tombori river cruise คะ จุดขึ้นเรือก็อยู่ตรงแถวๆตรงข้ามป้ายกูลิโกะ ตรงหน้า ichiran ramen นั่นเอง ถ้าไม่มีบัตรเบ่ง ค่าตั๋ว 900 เยนยามเย็นชมวิวคลองก็เพลินดี ที่ต้องให้ credit และคำชมเลย ก็คือไกด์สาวบนเรือ นางถ่ายรูปโปรมากๆ แถมเป็น entertainer ที่ดี ทำให้ตลอดเวลาที่เรานั่งเรือไม่มีเบื่อ เล่าข้อมูลคร่าวๆของโอซาก้า สอนภาษาญี่ปุ่นที่ควรรู้ และแนะนำสถานที่ต่างๆที่ผ่านตลอดการล่องเรือ ล่องเรือเสร็จ มาถึงโอซาก้าทั้งทีก็ต้องกินทาโกะยากิ เราลองร้านตรงสะพานนี่แหละ ร้านแรก ที่อยู่ใกล้ๆกะ ichiran ramen คนเข้าคิวเพียบเลย แต่อีกร้านนึงข้างๆกันขายทาโกะยากิเหมือนกันแต่ไม่มีคน สรุปรสชาติก็อร่อยดีแหะ หรือเพราะหิวไม่รู้ ><มา Dotonburi แล้ว ยังไงก็ต้องไม่พลาดไปถ่ายรูปกะป้ายกูลิโกะและเบียร์อาซาฮีเก็บตกแถวนั้นจากนั้นเราก็กลับไปต่อแถวๆที่พักคะ ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปขึ้น Hep Five ferris wheel เนื่องจากว่าบัตรเบ่งของเราขึ้นได้ฟรี แต่ด้วยเวลาจำกัดเลยข้ามไป เสียดายเราไปที่ Umeda sky building แทน ที่นี่บัตรเบ่งก็ใช้ได้เหมือนกันนะคะ ขึ้นมาที่ชั้น 40 จะเป็น floating garden observatoryชมเมืองโอซาก้ายามค่ำคืนอันสวยงามกันคะ จบจากตรงนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย ก็เลยเดินผ่าน osaka grand front อันนี้เป็นย่านช็อปปิ้งของไฮโซนะคะ เพื่อไปยัง osaka city walk ที่อยู่ติดๆกับ osaka station ตรงนั้นร้านอาหารเปิดดึกหน่อยเราเลือกทานราเมนร้านนี้ แต่ปรากฏว่าเค็มเว่อ ไม่อร่อยอ่ะ
-----------------------------------
วันที่ 4
วันนี้เป็นวันที่เราจะไป USJ กันคะ ตอนเช้าลองท้องด้วยข้าวปั้นและกาแฟสตาร์บั๊คที่ซื้อจากคอมบินี่เราออกเดินทางกันแต่เช้าเลยคะวันนี้ด้วยความที่เช้าจัด ผ่าน starbucks เลยขอจัดอีกแก้ว (จริงๆแก้เซ็ง ที่เมื่อวานกินกาแฟร้านนั้นแล้วไม่อร่อยด้วย เฟล)รีวิว USJ ช่วง halloween แยกไว้อีกบล็อคนึงนะคะ ไปตามอ่านกันได้
จบวัน เราก็มาปิดท้ายที่ห้าง daimaru แถวที่พักอีกเช่นเคย พอช็อปปิ้งเสร็จก็ขึ้นมาที่ชั้น 14 มาหาของกินที่ Umaimono plaza ชั้น 14 นี้รวมร้านอาหารหลากหลายเลย หลังจากเดินวนอยู่นาน เราจบที่ร้าน Ginza Hageten ร้านเทมปุระนะคะ เดินเข้าร้านไป ไม่มีคนเลย ตอนแรกหวั่นใจมากว่าจะไม่อร่อยหรือเปล่า แต่ครัวเปิดดูโปรมากเลยนะ เอาหน่าเข้ามาแล้วต้องลองดูเราเลือกสั่งเป็น set คะ เค้าก็จะค่อยๆมาเสริ์ฟทีละอย่าง เรียกได้ว่าทอดกันสดๆ เสริ์ฟแบบร้อนๆเลยทีเดียว
เทมปุระที่นี่เค้าต้องจิ้มเกลือนะคะเพื่อนเราสั่งเป็นข้าวหน้าเทมปุระ มาเต็มเช่นกัน เรียกได้ว่าทุกคนที่ทานร้านนี้ออกมาปลาบปลื้ม highly recommended
-----------------------------------
วันที่ 5
วันนี้วันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่โอซาก้าสำหรับทริปนี้แล้วคะ เหนื่อยมาหลายวัน การมาวิ่งด้วยเที่ยวด้วยนี่เหนื่อยทวีคูณเลยนะคะ เพราะหลังออกกำลังกายหนักไม่ได้พัก แถมตื่นเช้าติดๆกันทุกวัน วันสุดท้ายเราเลยขอslow life บ้าง ตื่นอย่างสาย เก็บของเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก็เกือบเที่ยง ฝากของไว้ที่โรงแรมเลยก่อนบินตอนมืด จากนั้นก็ไปช็อปปิ้งเก็บตกที่ย่าน shinsaibashi เหมือนเคย เริ่มจากออกทางออก 3 มาเพื่อมาซื้อ nespressoฝั่งตรงข้ามเลยมี comme ร้านยอดฮิตของคนไทย แต่ปรากฏว่าไปรอบนี้ไม่เจอคนไทยคะ เจอพี่จีนล้วน พวกนางกวาดแทบหมด shelfจากนั้นก็เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ
ตรงยาวไปเลยจนถึง dotonburi ป้ายกููลิโกะนั่นเองก่อนกลับ ขอจัดเนื้อมัซซึซากะที่ Yakiniku M ร้านก็หาง่ายๆอยู่ชั้น 2 ร้านติดกับ Ichiran ramen นั่นแหละที่นี่โต๊ะจะเป็นห้องๆ ส่วนตัวดีเมนู วันนี้เราไปคนเดียว หลังจากที่ให้พนักงานแนะนำแล้วก็สรุปว่าสั่งเป็น Matsusaka tasting platter ซึ่งจะมีเนื้อด้วยกัน 3 อย่าง เป็น chef selection เค้าบอกว่ามาทั้งทีแนะนำให้กินเนื้อ marble อย่ากินแบบ lean เลย ถ้าสั่งแบบเป็น course เนื้อจะไม่เทพเท่า แนะนำแบบนี้ดีกว่าก็เลยเชื่อเค้า สุดท้ายก็เลยออกมาเป็นจานนี้ เริ่มด้วย MaboroshiKyukyokuปิดท้ายด้วยตัวแพงสุด Sirlionย่างบริการตัวเองนะคะ มีซอส 3 ชนิดให้เลือกจิ้ม ใครอยากสัมผัสรสชาติเนื้อแท้ๆก็ไม่ต้องจิ้มก็อร่อยนะปิดท้ายด้วย matsusaka sushi อันนี้เด็ดมากค่าเสียหายมื้อนี้ โดยรวมแนะนำให้มาลองนะ อร่อยดี เนื้อดี ถ้ามาหลายคนได้ลองหลายๆอย่างคงจะฟินมากจากนั้นเราก็กลับไปเอาของที่โรงแรมคะ ลงรถไฟมา เดินผ่านร้าน waffle manneken มันหอมมากจนต้องลองซักชิ้น ร้านอยู่ติดกับ pablo เลย (ตรง osaka station) สรุปก็โอนะ แต่กลิ่นชนะรสชาติอ่ะขากลับไปสนามบิน เราก็ใช้บัสที่เราซื้อตั๋วไปกลับไว้แล้วตั้งแต่ขามา ไปขึ้นที่ herbis osaka ชั่วโมงนึงก็ถึงสนามบิน สะดวกดีเนื่องจากเครื่องหางแดงกว่าจะออกก็ประมาณเที่ยงคืน ไปถึงสนามบินก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอินกระเป๋าได้ ก็เลยเอากระเป๋าไปฝาก coin locker ที่ชั้น 2/3 ก่อน ล็อคเกอร์นี้มีแบบเป็นวันกระเป็นรายชั่วโมงนะคะ เราก็เลือกแบบรายชั่วโมงเอาจากนั้นก็ไปที่ชั้น 1 เพื่อขึ้นรถบัสไปยัง Rinku premium outlet เช็ครอบรถบัสไปกลับสนามบินได้ตามในเว็บคะ จริงๆจะไปรถไฟก็ได้ แต่พอลงสถานีแล้วต้องเดิน เราขึ้เกียจเลยนั่งรถบัสดีกว่า รอบละ 200 เยน สะดวกดี ....จะชึ้นรถก็ไปหาป้ายเบอร์ 12 คะ outlet ใหญ่มาก แนะนำว่าให้ดูก่อนว่าเราอยากไปร้านไหน ดูตำแหน่งจะได้เดินถูก เพราะเดินไปเรื่อยๆ คาดว่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงคะกว่าจะทั่ว
ตรงยาวไปเลยจนถึง dotonburi ป้ายกููลิโกะนั่นเองก่อนกลับ ขอจัดเนื้อมัซซึซากะที่ Yakiniku M ร้านก็หาง่ายๆอยู่ชั้น 2 ร้านติดกับ Ichiran ramen นั่นแหละที่นี่โต๊ะจะเป็นห้องๆ ส่วนตัวดีเมนู วันนี้เราไปคนเดียว หลังจากที่ให้พนักงานแนะนำแล้วก็สรุปว่าสั่งเป็น Matsusaka tasting platter ซึ่งจะมีเนื้อด้วยกัน 3 อย่าง เป็น chef selection เค้าบอกว่ามาทั้งทีแนะนำให้กินเนื้อ marble อย่ากินแบบ lean เลย ถ้าสั่งแบบเป็น course เนื้อจะไม่เทพเท่า แนะนำแบบนี้ดีกว่าก็เลยเชื่อเค้า สุดท้ายก็เลยออกมาเป็นจานนี้ เริ่มด้วย MaboroshiKyukyokuปิดท้ายด้วยตัวแพงสุด Sirlionย่างบริการตัวเองนะคะ มีซอส 3 ชนิดให้เลือกจิ้ม ใครอยากสัมผัสรสชาติเนื้อแท้ๆก็ไม่ต้องจิ้มก็อร่อยนะปิดท้ายด้วย matsusaka sushi อันนี้เด็ดมากค่าเสียหายมื้อนี้ โดยรวมแนะนำให้มาลองนะ อร่อยดี เนื้อดี ถ้ามาหลายคนได้ลองหลายๆอย่างคงจะฟินมากจากนั้นเราก็กลับไปเอาของที่โรงแรมคะ ลงรถไฟมา เดินผ่านร้าน waffle manneken มันหอมมากจนต้องลองซักชิ้น ร้านอยู่ติดกับ pablo เลย (ตรง osaka station) สรุปก็โอนะ แต่กลิ่นชนะรสชาติอ่ะขากลับไปสนามบิน เราก็ใช้บัสที่เราซื้อตั๋วไปกลับไว้แล้วตั้งแต่ขามา ไปขึ้นที่ herbis osaka ชั่วโมงนึงก็ถึงสนามบิน สะดวกดีเนื่องจากเครื่องหางแดงกว่าจะออกก็ประมาณเที่ยงคืน ไปถึงสนามบินก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอินกระเป๋าได้ ก็เลยเอากระเป๋าไปฝาก coin locker ที่ชั้น 2/3 ก่อน ล็อคเกอร์นี้มีแบบเป็นวันกระเป็นรายชั่วโมงนะคะ เราก็เลือกแบบรายชั่วโมงเอาจากนั้นก็ไปที่ชั้น 1 เพื่อขึ้นรถบัสไปยัง Rinku premium outlet เช็ครอบรถบัสไปกลับสนามบินได้ตามในเว็บคะ จริงๆจะไปรถไฟก็ได้ แต่พอลงสถานีแล้วต้องเดิน เราขึ้เกียจเลยนั่งรถบัสดีกว่า รอบละ 200 เยน สะดวกดี ....จะชึ้นรถก็ไปหาป้ายเบอร์ 12 คะ outlet ใหญ่มาก แนะนำว่าให้ดูก่อนว่าเราอยากไปร้านไหน ดูตำแหน่งจะได้เดินถูก เพราะเดินไปเรื่อยๆ คาดว่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงคะกว่าจะทั่ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น