แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Florence แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Florence แสดงบทความทั้งหมด

27/6/57

รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 11) : Day 9 Museum day in Florence (ฟลอเรนซ์)

ความเดิมตอนที่แล้ว


รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 1) : เตรียมตัวเที่ยว Italy ด้วยตนเอง
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 2) : ที่พักใน Italy 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 3) : Day 1 ประสบการณ์การบินกับ Airfrance และการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองที่โรม (Rome)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 4) : Day 2 When in Rome (โรม)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 5) : Day 3 Vatican (วาติกัน) และ Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 6) : Day 4 เก็บตก Rome (โรม) 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 7) : Day 5 ฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองหลวงของ Tuscany
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 8) : Day 6 ช็อปปิ้งที่ The Mall Outlet และเมื่อโลกมันเอียงที่ปิซ่า (Pisa)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 9) : Day 7 Hiking Tour 5 หมู่บ้านที่ Cinque Terre
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 10) : Day 8 Siena (เซียน่า) และเก็บตก Florence (ฟลอเรนซ์)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายใน Florence ของเราแล้วก่อนจะย้ายไปยัง Venice ในวันพรุ่งนี้ จริงๆเรานอนที่นี่ตั้ง 5 คืนแต่เที่ยวในตัวเมืองเองไม่กี่วันเพราะมัวแต่ตะลอนๆ ไปยังเมืองอื่นๆ วันนี้เลยจัดเป็นวันเบาๆ เสพงานอาร์ตกันคะ 

เราจอง Uffizi Gallery ตั๋วแบบออนไลน์เอาไว้แล้ว ตอนเช้าก็เลยเดินชิลๆจากที่พักไป ก่อนถึงก็ผ่าน Palazzao Vecchio ก่อน อย่างที่เคยเล่าไป เมืองนี้มันเล็ก เดินนิดเดียวก็ถึงสถานที่สำคัญๆ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันหมด 
ปัจจุบันปาลาซโซ เวคคิโอนี้เป็นที่ว่าการเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้ว่าการรัฐ เราไม่ได้เดินเข้าไป ชมแต่ด้านหน้าซึ่งก็คือลานเปียซซา เดลลา ซินญอเรีย (Piazza della Signoria) ซึ่งด้านหน้าก็มี David จำลองอยู่ด้วย (ชมของจำลองก่อน เดี๋ยวตอนบ่ายเราจะไปชมของจริงกัน)
เดิมลานนี้เป็นลานรวมผลเวลาที่บ้านเมืองมีเหตุสำคัญๆ ปัจจุบันก็ใช้เป็นที่ตั้งของรูปปะติมากรรมต่างๆ อีกรูปก็ Hercules and the Centaur 
พอไปถึง เราก็ไม่ต้องไปต่อคิว เดินเข้าไปรับบัตรได้เลยคะ ข้อดีของการซื้อตั๋วออนไลน์ จ่ายแพงกว่าหน่อย แต่สะดวกกว่าเยอะ
Uffizi Gallery พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ก็ตรงที่เราเดินมาดูสะพาน vecchio นั่นแหละคะ
ที่นี่มีงานศิลป์ให้เสพถึง 45 ห้อง ซึ่งเยอะมากๆ เราก็เลือกดูเอาแต่ห้องเด่นๆ เช่น sala 10-14 ที่มีรูป The birth of venus // sala 15 มีภาพ The Annunciation ของ Da Vanci เป็นต้น ที่นี่เค้าห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยไม่ได้มีภาพมาให้ชมกัน
อ่อ ด้านในที่นี่เป็นจุดชมวิวสะพาน Vecchio ที่สวยทีเดียว
 
 วิวเมือง ซึ่งไปตรงไหนก็ต้องมีงานซ่อม
ด้านบนมี cafe ที่วิวดีทีเดียว ถ้า eat in จะต้องจ่ายแพงหน่อย แต่วิวก็คุ้มค่าคะ อีกอย่างเดินมาซะเยอะ อยากนั่งชิลบ้าง
 

ฝรั่งเค้าก็นั่งกลางแดดกันเลย อาบแดดมาก พี่ไทยอย่างเราก็เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตัวตาม (กลับมาตัวดำปี๋)
เดินออกมาเจองานวิ่งมาราธอน บรรยากาศมันน่าวิ่งมากกกๆ
 
เดินมาเรื่อยๆ เจอโบสถ์อะไรก็ไม่รู้
จากนั้นเราก็ไปหาข้าวกลางวันทานกันคะ เลือกตาม trip advisor อีกแล้ว คราวนี้เป็นร้านแซนด์วิช ชื่อ II Bufalo Trippone ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆมากๆ
ช่วงที่เราไปเป็น easter พอดี theme การแต่งร้านเลยเข้ากะเทศกาล
 
ภายในร้าน คือ มีที่นั่งทานได้นะ แต่มันเล็กมาก
 
 
เราดูๆเมนูแล้วก็สั่ง Drunk Truffle มาลองกินดู อร่อยดี คือ พื้นฐานเป็นคนชอบ Truffle อยู่แล้ว ซอสที่เค้าใช้หอมมากๆ
เพื่อนเราใช้เชฟทำให้เลย ได้มาเป็นเจ้าอันนี้ ไม่มีชื่อ เค้า create ให้ตรงนั้น ฮ่าๆ
จบของคาว ไปต่อกันที่ของหวาน เดินกลับไปกินไอติม GROM ที่มากินวันก่อนโน้น ติดใจต้องมาซ็ำ กลัวว่าย้ายเมืองไปจะไม่ได้กิน (แต่ปรากฏว่าไปเวนิสก็เจอร้าน Grom นี้อีก 55)
แนะนำใครอยากซื้อพวก Chocolate เป็นของฝาก มันจะมีร้านขายอยู่ตรงข้ามร้านไอติม Grom เลย ราคาไม่แพง อย่าง Amedei เราซื้อที่นี่แท่งละประมาณ 4 ยูโร ไปเจอที่ duty free สนามบินขายแท่งละตั้ง 10 ยูโร หน้าร้านไปอย่างนี้ลองสังเกตดูหละกันนะคะ แต่จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆ
ท้องอิ่มแล้ว เราก็ไปเสพงานอาร์ตกันต่อคะ สถานที่ต่อไปที่เราจะไปก็คือ Galleria dell' Accademia
เราซื้อตั๋วออนไลน์ไว้แล้วเช่นกัน โชคดีมาก ไม่ต้องมารอคิวยาวๆ
ไปถึงก็ไปรับตั๋วได้ที่นี่เลยคะ
 
 ที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ David ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงห้องโถงใหญ่ เราเดินชมได้รอบๆรูปเดวิดเลยคะ บอกเลยว่าเห็นแล้วก็อึ้ง เป็นหินอ่อนแกะสลัดขนาดใหญ่ที่อ่อนช้อย เหมือนจริงมาก อย่างเส้นเลือด กล้ามเนื้อ หรือแววตาของตา ดูเหมือนมีชีวิตมาก สมเป็นชายงามดั่งคำล่ำลือจริงๆ ก่อนถึงตรงห้องโถง จะมีพวกงานแกะสลักที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พอดูงานพวกนั้นแล้วก็ยิ่งอึ้งกับชิ้นที่แกะสำเร็จ คือ เป็นหินอ่อน แกะยังไงได้พริ้วไหวขนาดนี้ มิเคอันเจโล เป็นอัจฉริยะงานอาร์ตจริงๆ นับถือๆ

ด้านในเค้าก็ห้ามถ่ายรูปอีกแล้วดูจาก postcard แทนหละกันนะคะ
หลังจากเสพงานอาร์ตทั้ง 2 แห่งแล้ว เราก็ไปเดินเล่นช็อปปิ้งกันเล็กน้อย ไอ้เจ้าสะพาน vecchio ทีเ่ราไปมาหลายรอบมาก แต่ยังไม่เคยข้ามสะพานเลย ฮ่าๆ ขอซักนิดก่อนกลับนะ
เดินไล่มาถึงปาลาซโซ พิตติ (Palazzo Pitti) ซึ่งเดินเป็นวัง ตอนหลังพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ เข้าชมด้านในได้นะคะ แต่เราไม่มีเวลาพอ ดูจากวังด้านนอกแล้ว ใหญ่โตเหลือหลาย เดินข้างในคงต้องใช้เวลามากพอควร
ลานด้านหน้าก็เป็นที่พักผ่อนของชาวเมือง เราก็แอบมานั่งพักเหนื่อยตรงนี้เหมือนกัน ชิลดี
จุดหมายสุดท้าย ของเมืองนี้เราจะไปที่จัตุรัสมิเคลันเจโล (Piazzale Michelangelo) ก่อนไปก็ซื้อตั๋วรถเมล์กันก่อน อันนี้ซื้อบนรถบัส อย่าลืม validate ตั๋วก่อนหลังจากซื้อ ตั๋วอันนี้จะเป็นแบบใช้ได้ 90 นาที ขึ้นกี่ครั้งก็ได้หลังซื้อ ....ข้อเตือนใจเลยสำหรับคนที่มาเที่ยวที่นี่ คือ ถ้าเราไปเองจะเห็นได้ว่าไม่ต้องซื้อตั๋วรถเมล์ก็ได้เวลาขึ้น ไม่โดนตรวจก็รอดไป ไม่ต้องเสียเงิน แต่ขอบอกเลยว่าให้ซื้อเถอะคะ เพราะเราโดนตรวจมาแล้ว โชคดีที่ซื้อตั๋ว ไม่ง้านอายเค้าแย่ แถมค่าปรับแพงกว่าค่าตั๋ว ที่สังเกต คือ ก็มีคนตรวจตั๋วอยู่เนืองๆนะ (ทั้งรถเมล์และรถไฟ)
เราขึ้นรถเมล์แล้วก็พอลงก็ต้องเดินอีก ทางเป็นทางชันขึ้นเขา (จริงๆแล้วจะไปลงที่จัตุรัสเลยก็ได้ ไม่ต้องมาเดินเมื่อย)
ระหว่างทางขึ้นไป จะเจอสวนอันนี้ สวยดีนะ
 
ใครมาเมืองนี้ ขอบอกเลย ห้ามพลาด top view ที่นี่ เราชอบมากสุดเลย เมืองเหมือนดั่งภาพเขียน
 
 
ที่นี่ก็มีเดวิดจำลอง ทำจากโลหะหล่อ แต่เราว่าตัวมันเขียวๆ ไม่หล่ออ่ะ อ่อ blog วันนี้เราตามเก็บครบทุกเดวิดในฟลอเรนซ์กันเลยนะนิ ^^
ตรงนี้เป็นร้านอาหาร ถ้าอยู่ทานข้าวแล้วชมวิวตรงนี้ตอนกลางคืนจะสวยมาก เห็นเป็นเมืองแบบเปิดไฟ แต่เสียดายรถเมล์รอบสุดท้ายมันจบตอน 2 ทุ่ม เรากลัวกลับลงไปไม่ได้ อีกอย่างต้องไปแพ็คกระเป๋าเตรียมย้ายเมืองเลยต้องตัดใจคะ ใครมีโอกาสอย่าพลาดแบบเรานะคะ ^^
จบแล้วสำหรับเมืองฟลอเรนซ์ ถ้ามีโอกาสอยากกลับมาใหม่มาก อยากไปช็อปปิ้ง prada ที่ outlet ใหม่ ฮ่าๆ ไม่ใช่หละ เมืองนี้มันเล็ก น่ารัก จริงๆคะ บ้านเมืองน่าเดิน เดินง่ายด้วย เชื่อมๆถึงกันหมด ผสมผสานทั้งศิลปะ และสถานที่ช็อปปิ้ง วิวดีด้วย ผู้คนก็น่ารัก ครบอย่างที่ต้องการ

ตอนหน้าเราจะไปเที่ยว Venice กัน
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 12) : Day 10 Venice (เวนิส)

15/6/57

รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 10) : Day 8 Siena (เซียน่า) และเก็บตก Florence (ฟลอเรนซ์)

ความเดิมตอนที่แล้ว


รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 1) : เตรียมตัวเที่ยว Italy ด้วยตนเอง
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 2) : ที่พักใน Italy 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 3) : Day 1 ประสบการณ์การบินกับ Airfrance และการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองที่โรม (Rome)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 4) : Day 2 When in Rome (โรม)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 5) : Day 3 Vatican (วาติกัน) และ Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 6) : Day 4 เก็บตก Rome (โรม) 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 7) : Day 5 ฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองหลวงของ Tuscany
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 8) : Day 6 ช็อปปิ้งที่ The Mall Outlet และเมื่อโลกมันเอียงที่ปิซ่า (Pisa)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 9) : Day 7 Hiking Tour 5 หมู่บ้านที่ Cinque Terre

วันนี้เราจะไปเที่ยว one day trip ที่ Siena กัน ความตั้งใจแรกกะว่าจะไป 2 เมืองเลย คือ Siena และ San Giminano แต่พอดีมีเพื่อนคนนึงในทริปไม่สบาย กะว่าจะตามมาทีหลัง เราก็เลยตัด San Giminano  ออก เหลือเพียงแค่ Siena ทีเดียว ...ความรู้สึกแรกที่ต้องตัด San Giminano ออกจากแผนการเดินทาง คือ โล่งใจ 555 เพราะตอนต่อรถระหว่างเมืองเราก็เสียวๆอยู่ว่าจะหลง คนรีวิวน้อยมาก แต่มีโอกาสได้ผ่าน Poggibonsi ซึ่งเป็นสถานีที่ใช้ต่อรถระหว่างเมือง ปรากฏว่าใหญ่พอควรเลยคะ คิดว่าถ้าใครจะไปทั้ง 2 เมืองก็ไม่น่าจะยากอะไร ยังไงใครมีโอกาสไปเที่ยว San Giminano ก็ฝากเที่ยวเผื่อด้วยคะ 

สำหรับเรา การเดินทางไป Siena เริ่มจาก Florence เหมือนเคย เราจะไปขึ้นรถบัสกันที่ BUSITALIA/SITA depot ไปที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วบอกเค้าซื้อ round trip ได้เลย ค่ารถไปกลับก็ขาละ 7.80 ยูโร ก่อนขึ้นรถอย่าลืม Validate ตั๋วก่อนทุกครั้งนะจ๊ะ
 ระหว่างทางพอเราเข้ามาในตัวเมือง Siena แล้ว ตอนนั่งอยู่บนรถจะเห็นหอระฆังที่เราจะไปตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ทำให้ไม่ยากเลยว่าจะเดินไปทางไหน ระหว่างทางเดินที่นี่จะสังเกตได้ว่าเซียน่าเป็นเมืองเก่า ทางเดินจะลดหลั่น สูงต่ำทั้งเมือง บ้านเรือนตึกก็จะเป็นสีอิฐหม่นๆแบบนี้ ดูมีเอกลักษณ์ดี
 
 
 เดินมาเรื่อยๆ ก็จะถึง Siena Cathedral โบสถ์นี้มองด้านหน้าคล้ายๆโบสถ์ที่ Florence เลยด้านนอก เพียงแต่ตรงด้านบนจะทองๆ ส่วนสีของหินอ่อนก็จะอมชมพูเหมือนๆกัน 
โบสถ์นี้เป็นสไตล์โกธิค ที่เด่นเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ คือ เน้นเป็นหินอ่อนขาวสลับดำอย่างหอระฆังด้านข้างๆ (เดี๋ยวเราจะไปดูด้านในกันทีหลังจะได้เห็นว่าขาวดำมันสอดคล้องกะหอระฆังด้านนอกอย่างไร)
ด้านตรงข้ามโบสถ์จะเป็นกำแพงขนาดใหญ่ มีนาฬิกา หลายๆคนใช้เป็นจุดนัดพบ
ก่อนอื่น เราไปซื่อตั๋วเพื่อเข้าชมกันก่อนคะ
ที่นี่จะขายเป็น OPA SI Pass เข้าได้ 5 แห่ง all inclusive ราคา 12 ยูโร
 
 
เราจะเข้า Siena Cathedral กันเป็นที่แรกคะ มองดูใกล้ๆจะเห็นความวิจิตรของการสร้างจริงๆ
เข้าไปด้านในจะเห็นเพดานที่เป็นหลังคาโค้งที่มีลวดลาย ผนัง เสา ทำมาจากหินอ่อนสีขาวสลับดำ
 
 
โดมอลังการ
 แท่นบูชา
 ของจริงอันนี้ดูขลังมาก ขนาดเราไม่ได้เป็นคริสต์เรายังรู้สึกได้
 พื้นที่นี่จะมีภาพแกะสลัก
 
 รอบๆภายในโบสถ์
 
 
 
 ทางด้านซ้ายของโบสถ์จะเป็น Piccolomini Library ที่ Francesco Todeschini Piccolomini สร้างขึ้นเป็นทีระลึกให้กับพระสันตปาปาปิอุสที่2 (Pope Pius II)
 
 เป็นห้องเก็บโน้ตเพลงสำหรับวงนักร้องประสานเสียง เป็นหนังสือโน้ตเพลงเล่มโตที่มีภาพประกอบสวยงาม
มีภาพเฟรสโกงดงามเป็นเรื่องราวของพระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 บนผนังของห้องสมุด
 

ตรงนี้จำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่าอะไร แต่จะมีรูปปั้นมากมาย
 

จากนั้นเราจะไปชม panorama view ของเมือง Siena กัน ตรงนี้มีชื่อว่า Panaroma dal facciatone อันนี้ต้องต่อคิวกันเข้า เพราะทางแคบ พื้นที่น้อย พอเข้าไปชมแล้วก็จะมีเวลาจำกัดคะ แค่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ขึ้นมาก็จะเห็นวิวเมืองเซียน่า ส้มไปทั้งเมือง Torre del Mangia ก็โดดเด่นเป็นสง่า เสียดายมีส่วนปิดซ่อมบำรุงอีกแล้ว
 
 
 
 
พอเดินออกมาด้านนอกจะเห็นเจ้ากำแพงนี้แหละ อันนี้ด้านบนคือส่วนที่เราเดินขึ้นไปชมวิวเมื่อกี๊ มันแคบเค้าถึงจำกัดคนและเวลา
 จากนั้นเราจะไปกันที่ Museo dell'Opera
 
เดินออกมาจากบริเวณนั้นหน่อย ส่วนสุดท้ายแล้วสำหรับการเข้าชมทั้ง 5 ที่ นั้นก็คือ Cripta

 
 
 
จบการเดินชมสถานที่ทั้ง 5 แห่งที่เราซื้อบัตรไว้แล้ว จริงๆก็ใช้เวลาไม่นานมากคะ ก็เดินครบทั้ง 5 ที่ เพราะสถานที่ต่างๆมันก็อยู่ใกล้ๆกันหมด

เราจะเดินไป landmark สำคัญอีกจุดหนึ่ง ของเมือง นั้นก็คือ Piazza del Camp เปียซซา เดล คัมโป หรือเจ้าลานรูปเปลือกหอยนั่นเอง ระหว่างทางเดินไป ก็สำรวจเมืองไปด้วย
ถึงแล้ว Palazza Pubbico วังแห่งเมือง Siena ข้างๆมีเจ้าหอระฆัง Torre del Mangia เด่นเป็นตะหง่าน
ลานรูปหอยนี่ใหญ่จริงๆคะ จะปูด้วยอิฐสีแดง โค้งรอบวัง
จัดเป็นลานพักผ่อนตามอัธยาศัยของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมือง สังเกตได้ว่าฝรั่งร้อนแค่ไหนเค้าก็นั่ง สำหรับเราลานนี้เอาไว้นั่งพักหลังเดินเมื่อยมานาน ดีมากมากชิลเลยหละ ถ้าไม่ติดเรื่องแดดร้อน นั่งมองผู้คนเพลิน
ทางออกตรงนี้เป็นมุมถ่ายรูปมหาชน
 ก่อนกลับเราพักทานข้าวกันแถวนั้นเป็นร้านพิซซ่า
 
 
 
 
 
 ที่นี่ก็มีไอติม GROM ด้วย

จากนั้นเราเดินทางกลับสู่ florence คะ
 
เรากลับมาถึง Florence เย็นๆ ก็เลยมาเก็บตกในเมือง เริ่มต้นจากการตามหาน้ำหอมชื่อดัง ซึ่งต้นกำเนิดมาจากโบสถ์ Santa Maria Novella ร้านก็อยู่ไม่ไกลจากโบสถ์คะ
ร้านชื่อ Officina Profumo Farnaceutica di Santa maria Novella จะอยู่ตรงถนน Via della Scala เดินตามสาวญี่ปุ่นที่มาช็อปปิ้งแถวนี้ เดี๋ยวก็เจอคะ จริงๆร้านนี้มีหลายสาขา ตอนเราไป verona ก็เจอ shop แต่ที่ที่เราไปเป็นต้นกำเนิดคะ
ร้านนี้มีประวัติยาวนาน ก่อตั้งโดยบาทหลวงชาวโดมินิกัน เริ่มเปิดขายเครื่องหอมครั้งแรกเมื่อปี  1612 อายุยืนยาวขนาดนี้ไม่ต้องบอกสรรพคุณว่าดีแค่ไหน ....เข้าไปในร้านจะสัมผัสได้ถึงความหรูหราของร้าน ก็ตามราคาน้ำหอมคะ เราลองซื้อมาขวดนึงก็ตก 90 ยูโร ราคาอาจจะแตกต่างกันไปตามกลิ่น ส่วนกลิ่นที่เราเลือกคือ Angle of Florence ตามชื่อเมืองเลย เค้าบอกกลิ่นนี้เป็นที่ระลึกหลังจากที่ Florence โดยน้ำท่วมใหญ่ไป
 
 
 
 

แล้วเราก็เดินกลับไปแถว Uffizi Gallery อีกทีเพื่อตามหากาลิเลโอ
และในที่สุด เดินเล่นไปมาจนเวลาเกือบ 2 ทุ่ม เราก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกที่แม่น้ำ Arno ซะที
 
ปิดท้ายวันนี้ด้วยการ dinner มื้อนี้เน้น Seafood ซะเยอะ ร้าน Trattoria dall'Oste
 
 

บรรยากาศในร้าน
 
อาหารมื้อนี้ ที่เราชอบเลย ก็ Seafood appetizer กุ้งอร่อย
 
 
 
 
 
 
ค่าเสียหายมื้อนี้คะ 91 ยูโร
ตอนต่อไป เป็นวันสุดท้ายในฟลอเรนซ์หละคะ
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 11) : Day 9 Museum day in Florence (ฟลอเรนซ์)