กลับมาอีกครั้งสำหรับการรีวิวท่องเที่ยว รอบนี้เราไปเที่ยว โอกินาวา (Okinawa) ที่ได้ชื่อว่าเป็น ฮาวายแห่งญี่ปุ่น โอกินาวาเป็นเกาะของญี่ปุ่นก็จริง แต่ว่าอยู่ทางตอนใต้ของเกาะญี่ปุ่นมากๆ ใต้กว่าคิวชูของญี่ปุ่นอีก ค่อนมาทางประเทศไต้หวันซะมากกว่า ฉะนั้นเวลาที่ไปก็อย่าได้คาดหวังว่าจะเจออะไรเหมือนที่เราไปเที่ยวญี่ปุ่นส่วน โตเกียว โอซาก้ากัน เกาะโอกินาวานี้ได้รับวัฒนธรรมมาจากทางจีนซะมากกว่า แล้วก็หลายๆอย่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากอเมริกา เนื่องจากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทางกองกำลังสัมพันธมิตรของ US มาตั้งฐานทัพที่นี่ เพื่อใช้โจมตีญี่ปุ่น แต่หลายๆขนมธรรมเนียม รวมถึงนิสัยใจคอของผู้คนก็ยังคงความเป็นญี่ปุ่นอยู่สูง นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใครๆก็หลงรักและอยากกลับมาเที่ยวญี่ปุ่นกันอีก
มาถึงการเตรียมตัวเที่ยวกันบ้าง ถ้าให้เปรียบเทียบการไปเที่ยวโอกินาวา ก็เหมือนกับการไปเที่ยวเกาะทางใต้ของบ้านเรานี่แหละคะ :D ฉะนั้น ถ้าจะไป ควรจะเลือกช่วงการเดินทางให้พ้นจากหน้ามรสุม เพราะกิจกรรมที่ทำ สถานที่ที่ไปส่วนใหญ่จะเป็น outdoor activities ทั้งนั้น ถ้าฝนตกคงไม่สนุก ช่วงที่เราไป คือ ช่วงกลางเดือนพ.ค. อาทิตย์ก่อนที่จะไป มีมรสุมเข้า แต่ช่วงที่ไปจริงๆ โชคดีมาก ฟ้าเปิด ไม่เจอฝนเลยซักวัน ตอนที่พยากรณ์อากาศไปเค้าบอกว่าประมาณ 28-30 องศา เราก็กะแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น แต่พอไปจริงๆ โอ้โห แดดมันร้อนมากๆ ไม่รู้สึกว่าต่างจากประเทศไทยเลย เวลาลมพัดมา คือ มันเป็นลมเย็นนะ แต่แดดมันเปรี้ยง แสบผิวจริงๆ ฉะนั้น อย่าลืมพกครีมกันแดดติดไปด้วยคะ
ทริปนี้เราไปสั้นๆ แค่ 5 วัน 4 คืนเท่านั้น ก็พอจะเที่ยวได้ทั่วเกาะอยู่นะคะ ถ้าใครอยากชิลๆกว่านี้หน่อย ไปซัก 7 วันกำลังดี เกินกว่านี้คาดว่าจะเยอะไปสำหรับเกาะโอกินาวา
ทริปนี้เราไปสั้นๆ แค่ 5 วัน 4 คืนเท่านั้น ก็พอจะเที่ยวได้ทั่วเกาะอยู่นะคะ ถ้าใครอยากชิลๆกว่านี้หน่อย ไปซัก 7 วันกำลังดี เกินกว่านี้คาดว่าจะเยอะไปสำหรับเกาะโอกินาวา
อยู่ไม่เกิน 15 วันก็ไม่ต้องทำ VISA
รอบนี้จองตั๋วเครื่องบินผ่าน hong kong airlines ได้ในราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินออกจากไทยบินตรงไปยังโอกินาวานะคะ จะต้องไป transit ก่อนเสมอ สำหรับ hong kong airlines เองก็แวะไป transit ที่ฮ่องกง เวลาบินที่ได้ คือ ขาไป เครื่องออก 02.10 ถึง okinawa 10.55 และขากลับ เครื่องออก 16.05 ถึงกทม. 23.50 ขาไปนี่ transit แป๊บเดียวรอไม่นาน แต่ขากลับนานหน่อย แต่ข้อดีก็คือ ไม่ได้ออกไฟล์ทเช้ามากสำหรับขากลับ ยังเที่ยวต่อได้อีกเล็กน้อย
หนังสือท่องเที่ยว หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นในแผงเยอะก็จริง แต่ในส่วนของที่โอกินาวายังเห็นน้อยมาก เราเห็นเล่มนี้เล่มเดียว เลยอ่านจากเล่มนี้ และอื่นๆก็หาจากตามใน internet นี่แหละคะ จองโรงแรม รอบนี้เราจองผ่าน booking.com ล้วนๆเลย โดยวางแผนว่าคืนที่ 1-2 เที่ยวแถบๆในเมืองก่อน แล้วก็คืนที่ 3 4 ออกไปนอนทางตอนเหนือของเกาะซึ่งจะใกล้กับชายหาด สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รวมๆก็เน้นดูราคา location แล้วก็รูปประกอบ เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกโรงแรม ที่นี่คนรีวิวน้อยมาก ดังนั้น ก็เน้น chain hotel ชื่อดังไว้ก่อน น่าจะเอาชัวร์ว่าได้คุณภาพดี สรุปมาเป็นดังนี้ (อ่านรีวิวประกอบเพิ่มเติมได้ในลิงค์คะ)
- คืนที่ 1-2 พักที่ โรงแรม Mercure Hotel Okinawa Naha
- คืนที่ 3 พักที่ โรงแรม Okinawa Marriott Resort & spa
- คืนที่ 4 พักที่ โรงแรม ANA intercontinental Manza beach resort
จองรถ โอกินาวาเหมาะสำหรับการขับรถเที่ยวมาก สำหรับการเที่ยวในเมืองใช้ monorail ก็เอาอยู่แต่ถ้าอยากไปเที่ยวตอนเหนือของเกาะ เช่ารถน่าจะสะดวกที่่สุด เนื่องจากเราไปกันหลายที่มาก แต่ละที่ก็ไม่ได้ใกล้กันเท่าไร รวมถึงค่าเช่ารถก็ไม่แพง แถมยังสามารถควบคุม schedule ให้เป็นอย่างใจได้อีก เราใช้บริการที่ OTS rent a car ที่นี่ถ้าจองก่อนล่วงหน้าซัก 40 วันได้เรทราคาพิเศษด้วย แต่เราก็จองได้เรทปกติอะนะ เนื่องจากเป็นทริปกะทันหัน แต่โดยรวมราคาก็ยังพอไหวอยู่ดี ประมาณ 25000 เยน สำหรับการเช่ารถ 4 วัน 3 คืน
ทำใบขับขี่สากล จะไป road trip ต่างประเทศข้อสำคัญ คือ ต้องมีใบขับขี่สากล ซึ่งก็ทำได้ไม่ยาก เอกสารพร้อม เงินครบ ก็รอรับได้เลย รายละเอียดเพิ่มเติมดูในเว็บของกรมการขนส่งทางบกนะคะ แต่ไปที่โน่น นอกจากพกใบขับขี่สากลไปแล้ว ก็ต้องพักใบขับขี่ของเราที่ใช้ที่ไทยไปด้วยนะคะ
Wifi เราเช่าของ samarai wifi ไปสัญญาณดีใช้ได้เลย ใช้ได้ทุกที่ทั่วเกาะ มีบ้างที่ใช้ไม่ได้เช่น ลงไปในใต้ถ้ำ อุโมงค์ลึกเป็นต้น
น่าจะหมดแล้วมั้ง สำหรับประเด็นสำคัญ ในการเตรียมตัวไปเที่ยวโอกินาวา ส่วนสำคัญอีกอันก็คือ ตารางเที่ยวนี่แหละว่าจะไปไหนกันบ้าง เพื่อนๆก็ลองอ่านตามดูแล้วกันคะว่าเราไปไหนบ้าง โดยเราคิดว่าจะเขียนแบ่งออกเป็นวันๆ เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามนะคะ
ว่าแล้ว ไปเที่ยวกันดีกว่าคะ!!!
สำหรับการเดินทางโดยขาไปจากกทม. ไปยังฮ่องกง เพื่อ transit ต่อไปยังโอกินาวาอีกทีโดยสายการบิน hongkong airlines ไฟล์ทที่ไปจริงๆ คือ ตี 2 เราก็ไปถึงสนามบินตั้งแต่ประมาณ 5 ทุ่มกว่าพอถึงเคาน์เตอร์เช็คอิน พนักงานบอกว่า ไฟล์ทที่เราจองไปจริงๆจะ delayed กลัวว่าจะไปต่อเครื่องไม่ทัน เค้าก็ขยับเปลี่ยนไฟล์ทให้เรามาเป็น 01.15แต่ที่น่ากลัว ก็คือ เพื่อนร่วมไฟล์ทที่บินนี่แหละคะ ที่เค้าว่าว่ากันว่าทัวร์จีน เป็นอย่างไร วันนี้เจอกับตัวก็ไฟล์ทนี้ เรียกได้ว่าสยองเลย อาทิเช่น gate เปิดช้า เราและคนอื่นๆก็มายืนรอหน้า gate นี่แหละ เค้าก็จับจองที่นั่งหน้า gate กันหมด ส่วนเราก็ไม่เป็นไรยืน พอถึงเวลา gate เปิดก็วิ่งกรู แย่ง เบียด ไม่ต่อคิว เพื่อจะได้เข้า gate ไม่รู้จะรีบไปไหนกัน เป็นต้น
มาที่ตัวสายการบินบ้าง เอาเข้าจริงเครื่องก็ไม่ได้ออก 01.15 หรอกคะ ก็ delayed ไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง
นี่เป็นภายในตัวเครื่อง เราว่าที่นั่งตรงกลางมันแคบ แถวริมหน้าต่างกว้างกว่า มี inflight entertainment แต่บินดึกขนาดนี้ พี่ขอนอนแทนดีกว่าอาหารเสริ์ฟเป็น bun หนึ่งอันและน้ำผลไม้ เป็นงี้ทุกไฟล์ทที่เราบิน เลยสงสัยเล็กๆ ตกลงนี่เป็น full services airlines จริงรึป่าว และที่สำคัญ bun มันรสชาติแย่มาก แต่ก็โอเคหละ ค่าตั๋วโดยรวมถูกพอมาถึงสนามบินฮ่องกง ตอน transfer เข้านี่คิวยาวมากกกก โชคดีที่เวลาพอควรเลยไม่ต้องกลัวตกเครื่อง แต่ก็ไม่สามารถกินอะไรมื้อจริงจังที่ airport ได้ เพราะเกรงว่าเวลาจะไม่พอ ก็เลยมานั่งรอหน้า gateที่นี่ก็เหมือนสุวรรณภูมิบ้านเราเลย ถึง gate ปุ๊บไม่ได้ขึ้นเครื่องทันที ต้องนั่งรถ shutter bus ไปต่อเพื่อขึ้นเครื่องอีกที ใช้เวลาไม่นานในที่สุด เราก็คือ โอกินาวา พอ landing ที่สนามบินก็เห็นทะเลลิบๆเลย พอถึงสนามบิน ตอนตรวจคนเข้าเมือง คนก็เยอะมากกก แถมช่องตรวจน้อย ทำให้เสียเวลาตรงนี้นานมากเกือบชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะได้ไปเอากระเป๋า จากนั้นเราก็เข้าเมืองกันคะ เครื่องเราลงที่ international building ของ naha airport ก็ต้องเดินออกไปที่ domestic building airport ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละคะ เดินออกไปแล้วเลี้ยวขวา มองไปก็เห็นตึก จากนั้นเดินผ่านทางเชื่อมที่ชั้น 2 ของตึก domestic พร้อมกับมองหาป้ายสถานีรถโมโนเรล เดินตามป้ายไปไม่ยากคะ
พอถึงสถานีปุ๊บ เราก็กดซื้อตั๋วแบบ one day pass ราคา 700 เยน โดยเค้าคิดแบบ 24 ชม.จริงๆนับจากเวลาที่เรากดตั๋ว คือ เราแพลนอยู่แล้วว่าวันแรกนี้เราจะเดินทางเที่ยวในตัวเมือง ซื้อเป็น one day pass ไงก็คุ้มกว่าซื้อเป็นเที่ยวๆ จากนั้นเราก็ขึ้นไปรอรถโมโนเรลกันคะ monorail ที่นี่มีแค่ 2 โบกี้เท่านั้น เล็กๆ และก็เดินรถความถี่ประมาณ 10-15 นาทีจะมาคันนึง แต่ที่สะดวกก็คือ สถานที่สำคัญในตัวเมืองทั้งหลายที่เราจะไปเที่ยวกัน โมโนเรลนี้ก็ผ่านหมด ทำให้การเที่ยวโอกินาวาทำได้ง่ายมาก ไม่ยากเลย....จาก naha airport เราจะไปลงกันที่สถานี สถานี Tsubogawa Mono Rail station ซึ่งห่างจาก Naha airport ประมาณแค่ 5 ป้ายเท่านั้นเพื่อไป check in โรงแรม Mercure Hotel Naha กันก่อน พอไปถึง ยังไม่ถึงเวลา check in บ่ายสองแต่ห้องเราเสร็จแล้ว ก็เลยได้ไปเก็บของ ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางกันมาตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนจะออกจากโรงแรมเราก็ฝากให้กับทางพนักงานโรงแรมช่วยจองร้านอาหาร Matsumoto shabu ไว้ให้ก่อน พนักงานก็ช่วยเหลือดีมาก จัดการจองให้เสร็จสรรพ พร้อมอธิบาย course ของอาหารให้ว่าจะสั่งอย่างไร เดี๋ยวคอยติดตามกันนะคะ ว่าร้านนี้เด็ดอย่างไร
แต่ตอนนี้เราไปหาข้าวกินกันที่ตลาดสด Makishi กัน จาก Tsubogawa Mono Rail station เราก็ไปลงที่ Miebashi station แล้วก็เดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที (ใช้ google map search เอาเลยคะรับรองไม่หลง) เห็นป้ายนี้ก็เดินตรงเข้าไปในตลาดได้เลยในตลาด ก็เป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยสารพัด พืช ผัก ผลไม้ เนื้อสัจว์ อาหารทะเล อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า ของฝาก บรรยากาศแลดูคล้ายๆบ้านเราเหมือนกันนะ
เดินเข้าไปในตัวตลาดกันบ้าง ชั้นล่างขายอาหารทะเลสดๆ สามารถเลือกสั่งและขึ้นไปทานที่ชั้น 2 ได้ ซาชิมิ สดและราคาถูกมาก ถ้าเทียบกะทานที่บ้านเราขึ้นมาถึงชั้น 2 มีร้านให้เลือกเพียบเราทานกันที่ร้านนี้ เมนูมีรูป คนขายพอพูดภาษาอังกฤษได้สั่งเน้นเป็นอาหารพื้นเมืองประจำโอกินาวากันเลย มะระผัดไข่ โอกินาวาโซบะ แล้วก็ซาซิมิ อันนี้ไม่พื้นเมือง แต่สนองความอยากส่วนตัว 55 รวมๆอาหารก็พอใช้ได้นะ ร้านนี้ ค่าเสียหายมื้อนี้ 1680 เยนอิ่มแล้ว เราก็เดินทางไป Shuri castle ปราสาทชูริ หรือ shuri joกัน ก็เดินย้อนกลับไปที่สถานี Miebashi station เพื่อไปลงที่ Shuri station จาก shuri station ก็เดินประมาณ 15 นาทีได้ หรือจนั่งรถเมล์สาย 1, 14, 17 ไปลงก็ได้ สารภาพว่าเราหาป้ายรถเมล์ไม่เจอ ก็เลยเดินไป เปิด google map เอาจริงๆก็ไม่ได้ไกลมาก แต่มันงงๆมากกว่าว่าเมื่อไรจะถึง คือ เหมือนจะเข้าได้หลายทาง เช่นเราผ่านอันนี้ก็คิดว่าเดินขึ้นไปแล้วถึงเลย ปรากฏว่าเค้าบอกประตูนี้ไม่เปิด ก็ต้องเดินต่อไปอีกนิด ไปยังประตูหลักที่เค้าเปิดพอไปถึง ก็ทันได้ดูโชว์พอดี การแสดงพื้นเมืองที่นี่ เดินไปรอบๆ จะเห็นวิวเมืองจากปราสาทชูริที่สวยงาม มุมนี้นี่ใครๆก็ถ่ายรูปนะ เป็นจุดชมวิวเห็นตัวเมืองตรงจุดนี้ หันหลังไปก็เป็นส่วนหนึ่งของปราสาท ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของโอกินาวาทีเดียว เด่นตรงสีแดงนี่แหละไปซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทกันดีกว่า ค่าเข้า 820 เยน แต่เราใช้บัตร 1 day pass monorail ก็จะได้ลด 20% อันนี้รูปจำลองโครงสร้างของปราสาทว่ามีส่วนใดกันบ้างพระตำหนักตรงกลาง เรียกว่า เซอิเดน (Seiden)เข้าไปชมต้องถอดรองเท้า เค้าจะให้ถุงเราหิ้วเพื่อใ่รองเท้า เค้าปิดป้ายว่าห้ามถ่ายรูป แต่คนก็หยิบมาถ่ายรูปกัน เจ้าหน้าที่ที่ยืนคุมอยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่เด่นเลย คือ บัลลังค์ประทับสำหรับกษัตริย์ด้านในก็ไม่มีอะไรมาก เราก็ออกมาเดินด้านนอกต่อ จำกำแพงที่เราถ่ายรูปจากจุดชมวิวได้ใช่มั้ยคะด้านบน ออกจากตัวปราสาทมา ทางออกก็เดินลัดเลาะตรงกำแพงมานี่แหละ เดินมาเรื่อยๆด้านหน้ามีร้านขายไอติม มาที่นี่ต้องทาน blue seal เราลองรสมันม่วงและมะม่วง มันม่วงนี่เป็นเหมือน signature ของโอกินาวา อะไรๆก็มักจะเป็นรสมันม่วงไปหมด ไอติมอร่อยมากกก มาแล้วต้องลองคะ highly recommendedจาก shuri castle เราจะไปต่อกันที่ Ashibinaa outlet เนื่องจากต้องทำเวลา outlet ที่นี่ปิด 2 ทุ่ม แล้วเราก็จองร้านอาหารไว้ตอน 2 ทุ่ม เราเลยนั่งแท๊กซี่ไปเลยจากปราสาท ค่ารถสองพันกว่าเยนได้ รายละเอียดว่าที่ outlet มีอะไรบ้างก็ไปดูจากใน website ได้เลยคะ ส่วนเราหลักๆ เสียตังค์ที่ adidas และ abc mart นี่แหละ ถ่ายรูปหน้าร้านมาให้ดูคร่าวๆ
จากตรง outlet นี้เราก็นั่งแท๊กซี่อีกไปสถานี monorail ที่ใกล้ที่สุด คือ ตรง naha airport จากนั้นก็นั่งไปลงที่สถานี Kenshomae station จากนั้นก็เปิด google map เดินไปไม่เกิน 5 นาทีเพื่อไปร้าน Matsumoto shabu shabu จริงๆเราจองไว้ตอน สองทุ่ม แต่กว่าจะไปถึงก็สองทุ่มครึ่งกว่า โชคดีมาก ที่เค้ายังเก็บโต๊ะไว้ให้ เค้าไปก็คนเต็มร้านเลย จะมีพื้นที่ส่วนที่เป็น counter bar และเป็นโต๊ะๆ ร้านไม่ได้ใหญ่มากนัก ร้านนี้เค้าดัง เพราะติดอันดับต้นๆของ tabelog มีแต่หมูนะคะเนื่องจากให้ทางโรงแรมสั่งไว้ให้แล้ว คือ เป็น course ปกติของเค้า ไม่ได้เพิ่ม option อะไร เค้าคิดคนละ 5000 เยนต่อหัว พอเรามาถึงเค้าก็จะยกเครื่องเคียงมาวางไว้ให้ พร้อมน้ำจิ้มต่างๆ และอธิบายว่าอะไรจิ้มกะอะไรยังไง
ร้านนี้เค้าทำให้เราทาน ถือว่าโชคดีมาก ได้รู้ซะทีว่า shabu จริงๆเค้าทานยังไง ปกติถ้ากินเอง ก็เททุกอย่างลงไปในหม้อ 5555 ....เริ่มด้วยเค้าเอาผักมาวาง เทส่วนใหญ่ลงไปในหม้อเว้นผักบางชนิด
พอผักเริ่มสุก เค้าก็เอาหมูมาวางเตรียมรอไว้จากนั้นก็คีบ ซัก 3-4 ชิ้น ลวกๆ พอสุก แล้วก็ตักมาพักไว้ในจานทีเด็ด คือ น้ำจิ้มพอนซึนี่แหละ เอาไว้จิ้มกะหมู แล้วเค้าก็จะมีน้ำจิ้มอีกสองอย่างไว้ให้ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) เค้าแนะนำให้จิ้มกะเต้าหู้ กะผัก สังเกต ที่นี่เค้าจะไม่ให้ถ้วยน้ำซุปใดๆ เวลากินชาบูก็คือ กินแค่หมูที่ลวกกะเนื้อที่ลวก ไม่มีซดน้ำซุปกันระหว่างนั้น
พอทุกอย่างได้ที่ซักพัก ผักที่เหลือในจานที่ไม่ได้ใส้ไว้ทีแรก เค้าก็มาสาธิตวิธีทานให้ดูอีกแบบ คือ คีบหมูลงไปลวกสองชิ้น จากนั้นก็ใส่ผักไว้ตรงกลางเอาหมูอีกชิ้นนึงมาประกบเหมือนเบอร์เกอร์ ลวกๆ แล้วก็ทานได้ บรรยายดูยากจัง แต่คือประมาณนี้ (ในจานเลอะๆ ก็คือ น้ำจิ้มสองอย่างที่ว่าไว้)ตบท้ายของกระบวนการทาน เค้าก็จะเอาถ้วยน้ำซุปมาให้เราตักน้ำแกงในหม้อทานได้ เหมือนกับว่าต้องรอให้น้ำซุปเข้าที่จริงๆ ถึงจะทานได้ และท้ายสุด จริงๆแต่เราไม่ได้ทำคือ ต้องเอาข้าวมาใส่ในหม้อน้ำซุปให้ข้าวดูดซึมน้ำซุปไป คือ จุดนั้น อิ่มมากกก เลยไม่ได้ทานข้าว ....สรุป ราคาร้านนี้สูงหน่อย แต่แนะนำว่ามาทานเถอะ ชอบ พนักงานก็บริการดีมากกกกกกก ประทับใจเลย
ก่อนจบวันแรก เรากลับไปเดินเล่นแถวถนน kakosai dori ใกล้ๆกับตลาด makishi ที่เราไปทานอาหารกลางวันกัน แต่เราคงไปดึกมากแล้ว 4 ทุ่มครึ่งเกือบ 5 ทุ่มได้ ไม่ค่อยมีอะไรเปิด ก็เลยกลับโรงแรม พักเอาแรงสำหรับลุยวันพรุ่งนี้ต่อ
รอติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น