ปกติเราจัดว่าเป็นนักวิ่งมือสมัครเล่นมากๆ วิ่งตามงานต่างๆบ้างเป็นระยะ วิ่งมินิมาหลายงานมาก คาดว่าจะเป็นหลักสิบ ผ่านฮาล์ฟมาแค่หนึ่งครั้ง ช่วงปีที่ฟิตและมีเวลามากหน่อยก็ลงหลายงานหน่อย แต่ปีนี้ไม่ค่อยฟิตไม่ค่อยมีเวลาก็เลยลงน้อยหน่อย จะเลือกไปวิ่งงานไหนก็ต้องเป็นงานที่โดนจริงๆถึงจะไป ...ล่าสุด ได้มีโอกาสได้ไปวิ่งงาน OSAKA Marathon 2015 มา ซึ่งงานนี้เป็นครั้งแรกเลยที่เราไปวิ่งงานวิ่งต่างประเทศและตั้งใจที่จะไปมากๆ โดยมีแรงบันดาลใจว่า "สักครั้งหนึ่งในชีวิต" อยากลองไปสัมผัสดูว่าวิ่งงานต่างประเทศมันเป็นยังไง
Osaka marathon ปีนี้จัดเป็นปีที่ 5 แล้ว อันนี้เป็น official website ของ OSAKA Marathon ไปติดตามรายละเอียดกันได้ งานของ Osaka marathon 2015 นี่จัดในวันที่ 25 ตุลาคม แต่เค้าเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ซึ่งก็ล่วงหน้าหลายเดือนทีเดียวเลย ตอนที่สมัคร เค้าก็จะบอกกฎกติกาไว้อย่างแน่ชัดว่าใช้การ random เอา ฉะนั้นผู้ที่จะได้ไปก็ดูเหมือนจะต้องใช้ดวงเข้าช่วยเช่นกัน ซึ่งพอประมาณช่วงพฤษภาคมมีการประกาศผลว่าได้ไปหรือไม่ได้ไป เค้าก็จะมีการส่งอีเมล์มาแจ้ง จากนั้นถ้าคุณได้ไปแล้วก็ต้องไปกรอกใบสมัครให้ครบถ้วนพร้อมกับจ่ายสตางค์ภายในวันที่เค้ากำหนด 
การสมัครก็แบ่งออกเป็นสองแบบ คือ 1. Full marathon 2. Challenge run (8.8 km) แน่นอนเราไปอย่างหลัง ><"
ค่าสมัครวิ่งที่นี่ราคาก็แพงไม่ใช่น้อย ยิ่งเมื่อเทียบกะงานที่ไทย ถือว่าแพงกว่ามาก อย่าง Full marathon ค่าสมัคร 10800 เยน หรือประมาณ 3000 บาทไทย ส่วน Challenge run 5400 เยน หรือประมาณ 1600 บาทไทย มีค่าอื่นๆอีกนิดหน่อย ++ คือ ค่า process การจ่ายเงินสำหรับคนที่สมัครจากต่างประเทศ แล้วเค้าก็ให้เลือกว่าจะช่่วย charity เพิ่มเติมหรือไม่ โดยการซื้อหมวกและเสื้อ
Theme งานของเค้า คือ Making a rainbow together ตอนสมัครเค้าก็มีกิมมิคนิดนึงว่าเราจะเลือกอยู่สีอะไร ซึ่งสีต่างๆก็จะมีธีมของตัวเอง แล้วก็มีบอกด้วยว่าจะใช้เงินไปช่วยงานการกุศลด้านไหน
งานนี้สมัครแล้วไปแทนกันไม่ได้นะคะ เค้าตรวจ identity ของผู้สมัครชัดเจน ....เมื่อทำ process ตามที่เค้ากำหนด ที่เหลือก็ฟิตร่างกายรอ พอช่วงใกล้ๆงาน ซักประมาณ 1 เดือนก่อนหน้าก็จะมีการส่งรายละเอียดเพิ่มเติมมาให้เราว่า กำหนดการต่างๆมีอะไรบ้าง เส้นทางวิ่งเป็นอย่างไร ต้องไปรับ bib ที่ไหน กฎกติกาเป็นอย่างไร เป็นต้น สำหรับเด็กๆ ถ้าจะมาวิ่งอาจจะลำบากเพิ่มนิดนึง คือ ผู้ปกครองจะต้องมีการเซ็นรับรองด้วย แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่อย่างเราแล้ว สุขภาพปกติดี ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ขอตัดข้ามมาถึงบรรยากาศในช่วงงานกันเลยคะ
งานวิ่งจริงวันที่ 25 ต.ค. วันที่ 23 และ 24 ต.ค. เค้าจะเปิดให้รับ bib ก่อน โดยสิ่งสำคัญ คือ เราต้องเตรียม Passport + เอกสารที่ปริ๊นมาจากระบบ เพื่อเซ็นรับรองด้านสุขภาพและเขียนเรื่อง Emergency person ....การเดินทางและรายละเอียดสำคัญทุกอย่างจะอยู่ใน Info pack ที่เค้าให้เราปริ๊นท์เตรียมก่อนมางาน เพื่อความสะดวกในชีวิตเราก็ศึกษาได้จาก Info pack นี้ เค้าจะมีรายละเอียดให้หมดว่างานจัดอะไรตรงไหน อากาศเป็นอย่างไร เป็นต้น
เราก็มุ่งหน้าสู่ Intex Osaka เพื่อรับ bib กันคะ ณ วันนั้นจากสถานีรถไฟ ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกัน ไม่ต้องกลัวหลงเลย นอกจากนี้ยังคอยมีพนักงานมาถือป้าย และบอกทางตลอดว่าให้เดินไปทางไหน เพราะจากสถานีรถไฟเดินไป Intex osaka ก็ค่อนข้างไกลทีเดียว
Mizuno ซึ่งเป็น sponsor หลักของงานนี้ก็มีการมาจัดบู๊ทระหว่างทางก่อนเดินไปถึง Intex osaka จริงๆ headquarter ของ Mizuno เองก็อยู่ในละแวกนั้นด้วย
เดินไปอีกซักพัก ระยะพอเหนื่อยก็ถึง Intex osaka
บรรยากาศแม่สีรุ้งเริ่มมา
จากนั้นเราก็ไปต่อคิวเพื่อเข้าไปด้านในอีกทีคะ คนเพียบเลย รอตรงนี้นานเหมือนกันกว่าจะได้เข้าไปจุด Runner check in 

อันนี้เป็นเอกสารที่ต้องเตรียมที่เราพูดถึงก่อนหน้า ก็เตรียมเซ็นชื่อให้พร้อมก่อนเข้าไป
พอเข้าไปด้านใน runner check in points เค้าจะแบ่งแถวเลยระหว่างคนญี่ปุ่น กะ Foreign สะดวกมากสำหรับกะเหรี่ยงมาวิ่งต่างประเทศอย่างเรา เพราะคนที่ต้อนรับฝั่ง foreign จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
จากนั้นก็ไปเข้าคิวตามเบอร์ของตัวเอง ที่นี่เค้าเช็คละเอียดนะคะ ไม่ให้มั่วว่ามาวิ่งแทนกัน เช็ค passport ตัวจริงว่าตรงกับชื่อที่สมัครมาหรือไม่กันเลยทีเดียว
เมื่อตรวจเช็คไรเรียบร้อยเค้าก็จะมอบเบอร์วิ่งให้เรา พร้อมอธิบายเล็กน้อยว่าต้องไปทำอะไรต่อ
ส่วนของคนญี่ปุ่นเองก็เช็คอินอีกฟากนึง
จากนั้นเราก็ไปรับเสื้อวิ่งกันคะ ตามสีทีมที่เราเลือกไว้ อย่างเราเลือก Navy ก็ไปรับตรงแถว Navy 

นอกจากเค้าจะแจกเสื้อแข่งตรงนี้แล้ว เสื้อ charity ที่สั่งตั้งแต่ตอนสมัครก็รับตรงนี้เช่นกัน
รอบๆงานมีจัดโชว์นิดหน่อยว่างาน 4 ครั้งก่อน เหรียญ เสื้อ ผ้า finisher เป็นอย่างไรบ้าง ดูแล้วบิ๊วมาก อยากให้ถึงวันวิ่งไวๆ อยากได้เหรียญ
ส่วนของปีนี้ เป็นแบบนี้คะ
เค้าจะจัดพร็อพ ให้ถ่ายรูปกะสีตัวเองด้วย
ขอชมว่าเจ้าหน้าที่ทำงานโปรมาก รวดเร็วมากคะ process ทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน ไม่มีมั่วๆ ....รับของเสร็จแล้ว จะเดินออกง่ายๆไม่ได้นะคะ ทางบังคับมาก ต้องเดินงาน expo ของเค้าก่อน
ช่วงแรกเป็นบู๊ทของสปอนเซอร์ต่างๆ มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย


มีเบียร์แบบโนแอลกอฮอล์แจกด้วย
จากนั้นก็จะเป็นการจำหน่ายเสื้อผ้ากีฬา ใครขาดเหลืออะไร หรือเห็น items เด็ดก็ช็อปได้ตรงนี้ ของ mizuno เองก็มีเสื้อ osaka marathon limited edition ด้วย
สุดท้ายแล้วก็จะมี food bazaar ขอบอกว่าเท่าที่ชิม อร่อยทุกร้านเลยยยย



เล่ามาซะนานนนน ถึงวันแข่งจริงซะที ที่นี่เริ่มวิ่งตอน 9 โมงนะคะ แต่เราออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมง มาแต่เช้าตรู่ กลัวหลง กลัวเลท 555 ....ณ สถานีรถไฟ นักวิ่งก็ร่วมทางกันเต็มเช่นเคย
ข้อดีของการตื่นเช้า ก็คือได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่นี่เอง เท่าที่สังเกต พระอาทิตย์ พระจันทร์ ณ ญี่ปุ่นดวงโตๆ
จุด start เริ่มต้นตรง osaka castle park เลยได้ชื่นชมบรรยากาศเมืองโอซาก้าไปในตัว เสียดาย ใบไม้ยังไม่แดง ถ้าแดงคงสวยมากๆ...พอมาถึงเค้าจะมีจุดให้ฝากของ ซึ่งในถุงที่เราจะฝากนั้นก็จะต้องใช้เบอร์แปะ (จากตอนที่เค้าแจกเรามาพร้อมกันเสื้อวิ่ง) ที่นี่ทำงานกันเป็นระบบมาก เพราะเค้าจะต้องขนย้ายของที่เราฝาก ไปยังจุดหมายปลายทาง คือ เส้นชัยนั่นเอง เท่าที่เห็นที่นี่เป็นรถบรรทุกของบริษัทประมาณไปรษณีย์ไทยมาเลยทีเดียว






จากนั้นเราก็นั่งรอเวลาไปยังจุด start กันคะ เค้าเริ่มให้เข้าไปซักประมาณ 7 โมงครึ่งได้
จุด start ของแต่ละคนก็ต่างกันไปคะ เริ่มตั้งแต่ A จนถึง P กันเลยทีเดียว เราอยู่แถว H ตอนแรกก็คิดว่าปล่อยตัวตามสี จริงๆแล้วปล่อยตัวตาม pace คะ ใครวิ่งไวก็ได้ออกก่อน ซึ่งเค้าจัดจากตอนที่เราเขียนใบสมัคร แล้วระบุไปว่า ระยะทางประมาณนี้ เราวิ่งได้ประมาณกี่นาที ฉะนั้น tips เล็กๆสำหรับผู้สมัครคราวหน้า ถ้ามั่นใจว่าตัวเองวิ่งไวจริง อยากออกตัวก่อน ไม่ต้องรอคอยในแถวนาน ก็ใส่เวลาดีๆไปเลยคะ 
บรรยากาศระหว่างรอ เท่าที่สังเกตนักวิ่งที่นี่ชาตินิยมเหมือนกันนะจากการแต่งกาย ส่วนใหญ่จะใส่ Asics Mizuno ไม่ค่อยเห็น Adidas Nike เท่าไร แล้วก็คนใส่กางเกงรัดกล้ามเนื้อเยอะเหมือนกัน แล้วที่แปลกกว่าคนไทยก็คือ เค้ามักจะใส่กางเกงทับอีกชั้น :P


พอถึงซักประมาณ 8.20 เค้าก็มีการเริ่มพูดเปิดงาน บลา บลา บลา ฟังไม่ออกเลยคะ ญี่ปุ่นล้วน
จากนั้น 9 โมงเป๊ะก็เริ่มปล่อยตัวคะ เราอยู่ block H กว่าจะได้ออกก็ประมาณ 9.10 
บรรยากาศคึกคัก คนเพียบเลย มีคนแต่ง cosplay มาวิ่งสร้างสีสันเยอะด้วย เสียดายไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา




ที่ชอบมาก คือ เค้าปิดเมือง Osaka ไม่มีรถโผล่มาซักคัน การจัดการระบบดีมากกกก วิ่งผ่านสถานที่สำคัญๆ ย่านช็อปปิ้งกันเลย แถว Namba Shinsaibashi





คนวิ่งมาราธอนที่ทำเวลาอยู่ไม่ต้องกลัว เค้ากั้นทางให้วิ่งอย่างดี ไม่ให้พวกวิ่งช้าๆอย่างเราไปเกะกะ ><

อีกหนึ่งอย่างที่สร้างสีสันให้กับงาน ก็คือ กองเชียร์นี่แหละคะ ตลอดเส้นทางชาวบ้านออกมาให้กำลังตลอดทาง ทุกครั้งที่ได้ยิน Ganbatte จะมีแรงฮึดวิ่งทุกที วิ่งๆไปก็จะมีเด็กๆรวมถึงคนแก่คอยมา Hi5 ตลอดทางอีกเดียว 

สุดท้าย เราก็ถึงเส้นชัยคะ จบ challenge run ไปอย่างสนุกสนาน อากาศตอนวิ่งกำลังดีเลย เย็นๆ ลมปะทะหน้าตลอดเวลาที่วิ่ง ทำให้เหงื่อไม่ค่อยออกดี แถมวิ่งไปดูผู้คน ดูเมืองไปอย่างเพลิน แป๊บๆถึงเส้นชัยแล้ว ที่อยากจะบอก คือ คนที่มาวิ่งงานนี้เค้าจริงจังมากกกกกกกกกกกคะ (ก ไก่ล้านตัว) แต่ละคนวิ่งกันอย่างตั้งใจ วิ่งไวด้วย (เห็นคุณลุงคุณป้าก็เยอะ แต่อย่างฟิต ไม่มีเดิน แถมวิ่งไวด้วย) งานนี้บอกเลย Peer pressure สูงมาก ไม่แปลกใจเลยถ้าใครมาวิ่งแล้วเวลาจะดีขึ้น 555
พอถึงเส้นชัย ก็ไปรับรางวัลคะ เป็นเหรียญและผ้า finisher ชอบๆ ถูกใจมาก คนที่วิ่งไม่ว่าจะเป็น challenge run หรือ marathon ก็ได้เหมือนกันหมดนะคะ ขอแค่ให้จบการแข่งขัน Ps. ที่นี่โหดมาก มี cut off เป็นระยะทุก 5 กิโล หากเวลาไม่ qualified
สุดท้าย ที่เราชอบมากสุด คือ ที่นี่ก็มีตากล้องอย่าง shutterrunning คะคุณ แถวเวลาหารูป ไม่ต้องไล่หาเอง แค่ search by race number ก็ขึ้นมาให้หมด มันเจ๋งตรงนี้
บทสรุปงานนี้ ขอบอกเลยว่าการจัดงานมันโปรมากกก ทุกสิ่งอัน เห็นได้ชัดเลยว่าโปรเฟสชั่นนอลเป็นอย่างไร หลายคนถาม ทำไมต้องถ่อมาวิ่งถึงที่นี่ อยากบอกให้รู้ว่าแค่มีโอกาสสักครั้งก็คุ้มค่าแล้วชีวิตนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีและแตกต่างมาก :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น