ไปเที่ยว Shirakawago (ชิราคาวาโกะ) ทั้งที ซึ่งที่นี่จัดเป็น World Heritage (มรดกโลก) และที่ขึ้นชื่นที่ทำให้คนมาเที่ยวที่นี่เลยก็คือหมู่บ้านที่นี่จะเป็นแบบ Gassho-Zukuri จุดเด่นเลย ก็คือ หลังคาของบ้านที่มีลักษณะพิเศษ ลาดเอียงมาก เนื่องจากเวลาที่หิมะตกหนักจะได้ลาดเทลงมาที่พื้นได้เลย แล้วก็ด้วยวัสดุที่เป็นหลังคาจากทอมือ....ทั้งหมู่บ้านมีประมาณ 144 หลัง แต่เปิดเปิด Minshuku หรือเป็น Bed and breakfasts เพียงแค่ 19 หลังเท่านั้น ไหนๆก็มาชิราคาวาโกะทั้งที เราเลยอยากได้ experience ใหม่ (จิ้นไว้ก่อนด้วยว่าหิมะน่าจะตกหนักช่วงนั้นเหมือนทุกๆปี) ก็เลยจอง Gassho-zukuri ไป
ขั้นตอนการจองบอกเลยว่าลำบากมาก หลังจากเราจัด route เส้นแน่ชัดแล้วว่าวันไหนเที่ยวไหนบ้าง คืนไหนนอนไหนบ้าง เราก็เริ่ม search ข้อมูลการจอง ซึ่งถ้าใครสนใจจะพักบ้านชาวนาที่ชิราคาวาโกะก็ website นี้เลย JapanGuestHouse.... เราก็อีเมล์ไปจองกะเค้าหลายเดือนล่วงหน้ามากๆก่อนจะไปพักจริง ปรากฏว่าเค้าตอบมาว่าเราเปิดให้จองแค่ประมาณ 4 เดือนล่วงหน้า อย่างเราจะไปต้นเดือนม.ค. ปี 59 เราเมล์ไปจะจองตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. 58 เค้าบอกว่าหลังที่เรา request ไป (ชื่อ Kanja) เปิดให้จองหลัง ก.ย. 59 เท่านั้น พอวันที่ 1 ก.ย. 59 เรา request ไปเพื่อจะจองใหม่เค้าบอกว่าหลังที่เราจะจองนั้นเต็มแล้ว มึน ตึ้บเลย อะไรฟะ จองก่อนตั้งนาน.....แต่ก็ยังดี เค้าเสนอมาให้ว่าวันที่เราจะไปยังมีหลังที่ว่างอยู่ คือ Shirakawago-Shimizu จุดนั้นเราหลังนั้นก็ได้แล้ว ขอให้ได้ไปพักเถอะ ก็เลย confirmed เค้าไป....ฉะนั้นขอบอกเลยว่าใครอยากจะไปพัก ก็ทำการบ้านแต่เนิ่นๆนะคะ ขนาดเราจองก่อนล่วงหน้าเกือบ 6 เดือนยังไม่ได้เลย
หลังจาก confirmed ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สิ่งหลักๆที่เค้าให้เราเตรียมตัวก็คือ 1. ห้ามนำกระเป๋าหนักๆใหญ่ๆไปที่ที่พัก เพราะบ้านพักอายุ 200 กว่าปีแล้ว 2. ให้เตรียมรองเท้าดีๆ กันหิมะ กันลื่น เพราะปกติแล้วเดือนม.ค. หิมะจะค่อนข้างหนาแล้ว 3. ที่นี่ไม่รับบัตรเครดิตนะคะ จ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น
มาเข้าเรื่องที่พักของเราดีกว่า รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปดูใน website ของ Shimizu inn ได้นะคะ
ลักษณะเด่น คือ หลังคาอย่างที่บอกที่พักที่นี่ถ้าใครเดินทางมาโดยรถโดยสาร จากป้ายรถที่ลงกับที่พัก ไกลมากกพอสมควร เดินประมาณ 10-15 นาทีทีเดียว ฉะนั้นใครไม่อยากลากกระเป๋าเดินไกลๆ ก็แนะนำจองเป็นอันที่อยู่ใกล้ๆกับป้ายรถแทน แต่เราขับรถไปเรื่องนี้ก็เลยไม่เป็นปัญหาเท่าไร จะมีก็แต่ว่า เส้นทางหลักที่เดินทางในหมู่บ้านจะมีเวลาเปิดปิดไม่ให้รถเข้าช่วง 9.00-16.00 ตอนเราไปถึงเค้าก็ไม่ให้เอารถเข้า ให้ไปจอดจุดจอดรถที่ใกล้ที่พัก คือ Midashima temporary parking เสียค่าจอดไปอีก 500 เยน จากจุดตรงนี้ใกล้ที่พักมาก เดินไม่ไกล พอไปถึงที่พักก็หาไม่ยากคะ...แต่พอมาถึงที่พัก เจ้าของบ้านบอกว่าของเรา free parking ไม่น่าต้องไปเสียเงินเลย lolด้านหน้าที่พัก ยังพอมีหิมะหลงเหลืออยู่บ้าง....ปีนี้อากาศผิดเพี้ยน คือ ร้อนผิดปกติ และหิมะตกช้ามาก เราก็เลย failed ไปตามระเบียบ อุตส่าห์ตั้งใจอย่างดี มาที่นี่อยากมาดูบ้านชาวนาแบบหิมะหนาๆ T_Tเข้าไปที่พัก ก็จะเป็นสามีภรรยาสองคนคอยต้อนรับเรา หน้าทางเข้าก็มีกฎเล็กๆน้อยๆขอการพักที่นี่อยู่ เช่น check in ตอนบ่าย 3, ห้ามลากกระเป๋าหนักๆบนเสื่อ, อาหารเย็นอย่างช่วงที่เราไปเป็นฤดูหนาวก็ทานตอน 18.30, มื้อเช้าตอน 7.30 หรือ 8.00 แล้วแต่นัดเวลากันกลับทางเจ้าของบ้าน, check out time ตอน 9 โมงเช้า แต่สามารถฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้, มีคูปองส่วนลดออนเซ็นให้ แต่จะเดินไปใช้บริการก็ไกลเหมือนกันลักษณะที่พัก เข้ามาแล้วเหมือนมานอนบ้านเพื่อนเลย คือ เหมือนเค้าอยู่อาศัยกันเองตามปกติ แต่แบ่งห้องให้แขกมาพัก....อย่างที่ Shimizu รับได้แค่ 3 ห้องเท่านั้น วันที่เราไปพักก็จะมีครอบครัวเราพัก 2 ห้อง แล้วก็มีครอบครัวชาวฝรั่งเศสพักอีกห้องนึง
ลักษณะเด่น คือ หลังคาอย่างที่บอกที่พักที่นี่ถ้าใครเดินทางมาโดยรถโดยสาร จากป้ายรถที่ลงกับที่พัก ไกลมากกพอสมควร เดินประมาณ 10-15 นาทีทีเดียว ฉะนั้นใครไม่อยากลากกระเป๋าเดินไกลๆ ก็แนะนำจองเป็นอันที่อยู่ใกล้ๆกับป้ายรถแทน แต่เราขับรถไปเรื่องนี้ก็เลยไม่เป็นปัญหาเท่าไร จะมีก็แต่ว่า เส้นทางหลักที่เดินทางในหมู่บ้านจะมีเวลาเปิดปิดไม่ให้รถเข้าช่วง 9.00-16.00 ตอนเราไปถึงเค้าก็ไม่ให้เอารถเข้า ให้ไปจอดจุดจอดรถที่ใกล้ที่พัก คือ Midashima temporary parking เสียค่าจอดไปอีก 500 เยน จากจุดตรงนี้ใกล้ที่พักมาก เดินไม่ไกล พอไปถึงที่พักก็หาไม่ยากคะ...แต่พอมาถึงที่พัก เจ้าของบ้านบอกว่าของเรา free parking ไม่น่าต้องไปเสียเงินเลย lolด้านหน้าที่พัก ยังพอมีหิมะหลงเหลืออยู่บ้าง....ปีนี้อากาศผิดเพี้ยน คือ ร้อนผิดปกติ และหิมะตกช้ามาก เราก็เลย failed ไปตามระเบียบ อุตส่าห์ตั้งใจอย่างดี มาที่นี่อยากมาดูบ้านชาวนาแบบหิมะหนาๆ T_Tเข้าไปที่พัก ก็จะเป็นสามีภรรยาสองคนคอยต้อนรับเรา หน้าทางเข้าก็มีกฎเล็กๆน้อยๆขอการพักที่นี่อยู่ เช่น check in ตอนบ่าย 3, ห้ามลากกระเป๋าหนักๆบนเสื่อ, อาหารเย็นอย่างช่วงที่เราไปเป็นฤดูหนาวก็ทานตอน 18.30, มื้อเช้าตอน 7.30 หรือ 8.00 แล้วแต่นัดเวลากันกลับทางเจ้าของบ้าน, check out time ตอน 9 โมงเช้า แต่สามารถฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้, มีคูปองส่วนลดออนเซ็นให้ แต่จะเดินไปใช้บริการก็ไกลเหมือนกันลักษณะที่พัก เข้ามาแล้วเหมือนมานอนบ้านเพื่อนเลย คือ เหมือนเค้าอยู่อาศัยกันเองตามปกติ แต่แบ่งห้องให้แขกมาพัก....อย่างที่ Shimizu รับได้แค่ 3 ห้องเท่านั้น วันที่เราไปพักก็จะมีครอบครัวเราพัก 2 ห้อง แล้วก็มีครอบครัวชาวฝรั่งเศสพักอีกห้องนึง
ห้องพักก็แบบนี้เลย ที่นอนต้องปูเองด้วยนะคะ เค้าก็จะอธิบายว่าสิ่งที่เค้าวางอยู่ชั้นล่างของกองให้วางไว้ด้านล่าง...ที่วางกลางห้องเป็นผ้าห่มไฟฟ้า อุ่นเลยทีเดียว ส่วน heater ในห้องมันจะตัดทุกๆสามชั่วโมงเวลาดับก็ต้องกดใหม่ ตรงนี้เป็นส่วนกลางของบ้าน ไว้เป็นที่รับประทานอาหารเช้าและเย็นมีชาให้บริการ แต่ต้องบริการตัวเองนะอันนี้ก็เป็นที่ให้ความอบอุ่นในบ้านยังใช้เป็นฟืนอยู่เลย ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมนะคะ ข้อดีคือสะอาดมีเครื่องซักผ้าให้ใช้ด้วยเนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลาเช็คอิน ก็มาฝากของไว้ที่ที่พักก่อน เจ้าของบ้านคนผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษได้โอเคทีเดียว แต่ชีเป็นคนนิ่งๆ เลยดูเหมือนจะไม่ค่อย friendly เท่าไร แต่เค้าก็ช่วยเหลือดีนะคะ เค้าก็จะมาอธิบายว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไปเที่ยวอย่างไร อย่างเราขับรถ GPS ที่นี่หาโดยเบอร์โทรศัพท์จะแม่นกว่า เราจะไปจุดชมวิวเค้าก็ช่วยจดเบอร์ให้ไรงี้ แล้วก็แนะนำจุดถ่ายรูป อย่างบ้านที่อยู่ติดกัน 3 หลังนี้ที่ชอบอยู่ใน postcard เดินจากที่พักไปไม่ไกล ตอนเย็นกลับมาที่ที่พัก ซักพักก็ได้เวลาอาหารเย็น ก็จัดเป็น kaiseiki สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ ก็จะเป็นแซลมอนมาให้แทน ขอบอกว่ากับข้าวที่นี่อร่อยมากกกกกกก แค่ตัวข้าวก็ชนะเลิศแล้ว เค้าจะมีข้าวสองแบบ คือ ข้าวขาวธรรมดา กะข้าวเหลืองๆ เหมือนข้าวผัด อันข้าวผัดอร่อยมาก แต่อาหารทุกจานอร่อยจริงๆ ที่ shirakawago เองก็มี free wifi ใครไม่ได้เช่า pocket wifi ไปหรือเปิด roaming ไปก็ไม่ต้องห่วง keep connected ได้สบายๆ
ตอนเย็นแล้วที่นี่ช่างเงียบสงบมาก ง่ายๆ ก็คือไม่มีไรทำนั่นเอง เจ้าของก็แนะนำว่าให้ไปออนเซ็นได้ แต่เราขี้เกียจเดินมันไกล เลยถือโอกาสนอนเร็วซักวัน :Dตอนเช้ามามื้อเช้าก็ตอน 8 โมงเช้า อร่อยอีกแล้ววววสรุป โดยรวมก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกไปอีกแบบ ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มานอนค้างในหมู่บ้านที่ได้รับการจัดว่าเป็นมรดกโลก แต่ถามว่าถ้าแค่มาเที่ยวพอมั้ย บอกเลยว่าพอ ไม่จำเป็นต้องค้างก็ได้ คุณไม่ได้พลาดอะไรไปมากเท่าไร เพียงแค่เดินทางไปกลับมันเสียเวลา สำหรับราคาระดับนี้เก็บตังค์ไว้พักเรียวกังดีๆได้เลย....ใจเรากำลังคิดอีกทีว่า ถ้าเรามาแล้วเป็นช่วงตอน light up ของหมู่บ้าน หรือหิมะหนาๆอย่างภาพในจินตนาการเราอาจจะเปลี่ยนใจว่ามาค้างที่นี่แล้วคุ้มก็ได้ แต่พอดี mission เรา failed เราเลยรู้สึกเฉยๆ....ที่ชอบที่ shimizu ก็ตรงอาหารอร่อยนี่แหละ อร่อยมากก ยังติดใจอยู่