รีวิว เที่ยวญี่ปุ่น ดูดอกไม้ ช่วง golden week (เดือนพฤษภา) : ตอนที่ 1

ทริปนี้ เหตุเกิดจากมีช่วงวันหยุดยาวในเดือนพ.ค. และโปรโมชั่นตั๋วถูกจาก singapore airlines ล้วนๆ ก็เลยใจง่าย ไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกแล้ว ...ช่วงเวลาที่ไปนี้ที่บ้านเราหยุดยาว ดันตรงกับ golden week วันหยุดยาวของคนญี่ปุ่นพอดีเช่นกัน ตรงนี้ก็จะวุ่นวายนิดนึง ตรงที่คนบ้านเค้าก็ออกมาเที่ยวเช่นกัน พวกที่พัก ปกติก็ราคาสูงอยู่แล้ว สูงขึ้นไปอีก กับรถติดมากขึ้นในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ข้อดี คือ หลายๆร้านค้าต่างก็จัดโปรโมชั่นลดราคากระตุ้นต่อมช็อปปิ้ง

เดือนพ.ค. หลายๆคนอาจจะสงสัยไปญี่ปุ่นทำไม ซากุระก็ไม่มีแล้ว แต่เราว่าญี่ปุ่นเที่ยวได้ฤดูจริงๆนะ สำหรับเราทริปนี คือ จัดแบบคนเคยไปแล้ว และตั้งใจไปดูดอกไม้ล้วนๆ แต่เป็นดอกอะไร รอติดตามอ่านกันะ :D

อ่ะ มาเริ่มต้นกัน

ทริปนี้เราไปทั้งหมด 5 วัน คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 4-9 พ.ค.

วันที่ 1

เราเดินทางออกจากสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน singapore airlines ตอนซื้อตั๋วเค้ามีโปร ไปกลับโตเกียวเหลือคนละประมาณ 13000 ข้อดี ของสายการบินนี้ ก็คือ สุดยอดในด้านการบริการอยู่แล้ว อาหารใช้ได้เลย แต่ข้อเสีย คือ ต้องไป via ที่สิงคโปร์ก่อน เปลี่ยนเครื่องใช้เวลาไม่นาน แต่มันกลายว่าเป็นบินอ้อม เพราะจากกทม.ต้องลงมาใต้ก่อนแล้วค่อยขึ้นเหนือไปทางญี่ปุ่น ทำให้ระยะเวลาการบินนานกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวก direct flight วันที่เป็นขาออก ออกจากกทม.เช้า ถึงฮาเนดะก็มืดพอดี เท่ากับเสียเวลาไปทั้งวันไปกับการเดินทาง

ตอนเช้าวันเดินทางก็ใช้บริการ king power lounge จากการเป็นสมาชิกบัตร SCB ก่อน โจ๊กอร่อยมากเลย เนียนสุดๆบนเครื่องไม่ได้ถ่ายรูป แต่จำได้ว่าขึ้นไปปุ๊บก็จะมีผ้าร้อนมาให้เช็ดมือก่อน แล้วก็มีถั่วเป็นอาหารว่างให้ ก่อนเสริ์ฟมื้อหลัก จำได้ว่าอาหารใช้ได้ทุกมื้อนะ

อ่อ มีขาไป ตอนเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ มีเวลาแค่ 50 นาที เรียกได้ว่าเครื่องจากกทม.ไปสิงคโปร์ เวลาแลนด์ดิ้งก็ก่อนเวลาบอร์ดดิ้งสำหรับขาจากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่นแล้ว ตอนนั้นลุ้นมากจะตกเครื่องมั้ย แต่ปรากฏว่าสบายผ่านฉลุย ตอนลงมาก็นั่งรถไฟภายในเค้าเปลี่ยน terminal เดินนิดเดียวก็ถึง gate แล้ว

เดินทางถึง Haneda airport ประมาณ 21.50 ใช้เวลากว่าจะออกจากสนามบินได้ก็ราวๆ 22.30 เราก็เลยเข้าเมืองโดยการนั่งรถไฟ เนื่องจาก Haneda airport อยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่า Narita airport ราวๆ 1 ชั่วโมงก็ถึงโรงแรม คืนแรกเราพักกันที่ Shibuya Grandbell Hotel ตามอ่านเพิ่มเติมได้จากรีวิวคะ (เขียนแยกกันไว้หน่อยไม่ง้านรีวิวนี้จะยาวเกินไป)พอเข้าที่พักปุ๊บ เราก็ออกไปเดินเล่นแถว shibuya เลย ไหนๆก็มาพักแถวนี้แล้วทั้งที ก็เลยต้องมาทักทาย hachiko ซะหน่อยต่อด้วย shibuya crossing road ดึกแล้ว แถวนี้ยังคึุกคักอยู่มาก starbucks at q front มุมนี้ที่คนชอบมาดูเค้าข้ามถนนกัน วันที่ 2

ตาม plan เราจะไปพักแถว lake kawaguchiko กัน 2 คืนคะ สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเช่ารถเอานะ ก็เหมือนเดิมเช่ารถผ่าน website tocoo เราเลือกรับรถที่ Nissan Car Rental Nissan Shibuya Cross Tower ก็ไม่ไกลจากที่พักมาก เดินประมาณ 5 นาที เราเช่ารถทั้งหมดประมาณ 3 วัน คือ เช่าตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. 9 โมง ไปคืนวันที่ 7 พ.ค. 2 ทุ่ม ค่าเช่ารถ 18360 เยน เหมือนเดิม เวลาตั้ง GPS ให้ search by phone number จะแม่นที่สุดนะฮะ

เส้นทางจากโตเกียวไปยังทะเลสาปคาวากูจิโกะ บนทางด่วนนี่เราจะเห็นภูเขาไฟฟูจิเลย เรียกได้ว่าวิวดีมากๆอันนี้ด่านตอนออก ถึงคาวากูจิโกะแล้ว ทางด่วนมันจะมีช่อง ETC กะ Cash อย่างเราๆเช่ารถก็จ่ายเป็นเงินสดปกตินะ ขอเตือนไว้ก่อนว่าค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นมันแพงมากกกกกกกกกก แพงมากกกกกกกก จริงๆ เราพลาดด้วยไม่ได้ศึกษาก่อนว่ามีแบบ pass หรือเหมาจ่ายอะไร  ...อย่างขาโตเกียวไปคาวากูจิโกะนี้ผ่าน 3 ด่าน 500+980+1970 ก็ 3450 เยน 

จากโตเกียวไปถึงเลคคาวากูจิโกะน่าจะประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึง 100 กว่าโลสำหรับระยะทางเราเช็คพยากรณ์อากาศก่อนวางแผนเที่ยว คือ มีแค่วันนี้เท่านั้นที่ฟ้าเปิด ไม่มีฝน โอกาสที่จะเห็นภูเขาไฟฟูจิทั้งวันสูงมาก โปรแกรมเที่ยววันนี้ก็เลยเน้นไปที่ที่จะมีวิวฟูจิ ตั้งใจเก็บให้หมดก่อน...ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป Fuji Shibazakura จุดมุ่งหมายหลักของทริปนี้ แต่ปรากฏว่าระหว่าางทางไปรถติดมากกกกกกก คือ ติดแบบติดมากจริงๆ เหมือนเวลาเราไปเขาใหญ่หรือหัวหินในช่วงเทศกาลอ่ะ ติดแบบนั้นเลย ก็เลยกลัวว่าถ้าติดมากๆ จะทำให้มาเก็บที่เที่ยวอื่นไม่ทัน ก็เลยเปลี่ยนแผน ไปเก็บวิวภูเขาไฟฟูจิตรงใกล้เลคคาวาคูจิโกะก่อน

จุดแรก เราไปกันที่ chureito pagoda ตอนแรกตั้งใจจะไปเจดีย์แดงแทน แต่พอ google map ดันพาไปเจดีย์อีกอัน คือ kawaguchiko asama shrine แทน แต่ขึ้นไปด้านบนก็บังเอิญเห็นวิวดีเช่นกัน ข้อดีของการหลงซินะ จากนั้นเราก็ขับรถไปหน้า sunnide resort เพื่อดูฟูจิแบบเต็มๆ ช่วงนี้ไม่มีเจ้าดอกซากุระ แต่มีดอกนี้แทน พอชดเชยได้เหมือนกันนะ จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ oishi park เสียดายว่าดอกไม้ที่เค้าปลูกไวยังไม่ค่อยขึ้นงามเท่าไรมาที่นี่ก็ต้องจัด soft serve แต่คราวนี้เป็นรสบลูเบอรี่กะวานิลลา เห็นว่าอย่างช่วงลาเวนเดอร์จะมีรสลาเวนเดอร์ด้วย ไปต่อกันที่เจดีย์แดง Chureito pagoda at arakura sengen shrine รอบนี้เราขับรถขึ้นมา เลยไม่ต้องเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นแบบคราวก่อน สบายขาเลย แต่คนนั่งด้วยบนรถก็เสียวหน่อย เนื่องจากทางรถแคบหน่อย ถ้ามีรถสวนมาก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นไง รอบนี้มาเค้ากั้นจุดชมวิวด้านบนแล้ว สงสัยคนมาเยอะ คราวก่อนที่มายังต้องปีนๆบนเขาเองอยู่เลยจากนั้นบ่ายแก่ๆแล้วเราก็รีบไปดูpink moss กันที่ Fuji Shibazakura Site บอกเลยว่าอันนี้เป็น hilight ของทริปนี้และตั้งใจมาคาวากูจิโกะอีกรอบก็เพื่อมาดูสิ่งนี้แหละ รายละเอียดเพิ่มเติมของการจัดงานดูได้จากทาง website ใครจะไปก็ต้องวางแผนดีๆนิดนึง อย่างปีนี้งานเริ่มจัดตั้งแต่ 29 เม.ษ. ถึง 29 พ.ค. แต่ถ้าไปเร็วเกินไปก็อาจจะยังไม่ค่อยบาน full bloom หรือไปช้าเกินไปก็อาจจะโรยลาแล้ว

ส่วนการจราจร เราออกเดินทางจากเลคคาวากูจิโกะประมาณบ่ายสามการจราจรก็ดีขึ้นกว่าตอนช่วงเที่ยงๆที่เรามาถึง แต่ก็ยังติดอยู่ดี...จริงๆจากเลคคาวากูจิโกะไปชิบะซากุระแค่สิบกว่าโลเท่านั้นระยะทาง แต่ใช้เวลาเดินทางไปเป็นชั่วโมง 

ค่าเข้าชมคนละ 600 เยน ค่าจอดรถคันละ 500 เยน
จากทีจอดรถก็เดินไปไม่ไกลมาก เดินตามคนอืนไปเดี๋ยวก็ถึง แหะๆ

เข้ามาถึง ก็เห็นลานพิงค์มอสเต็มไปหมด พื้นที่กว้างพอควร แต่ที่เด็ด คือ ฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิซูมๆดูพิงค์มอสใกล้ๆ ผู้คนมาเยอะจริงๆคะ เค้ามีการทำภูเขาไฟพิงค์มอสรูปภูเขาไฟฟูจิคู่กับภูเขาไฟฟูจิจริงๆด้วย 
บนด้านบนนั้นจะเป็นที่ชม panorama view ของที่นี่ แต่คนต่อคิวยาวมากก ด้วยเวลาอันจำกัดเราเลยขอบาย เดินมาด้านหน้าอีกหน่อยจะเจอจุดที่เหมือนในรูปที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์เลย ดอกไม้อื่นก็มีบ้างนะ นอกเหนือจากพิงค์มอสระหว่างทางเดิน มีต้นซากุระด้วย แต่ดอกหลงเหลือน้อยเหลือเกินตรงบริเวณด้านนอกก็มีขายอาหาร ของที่ระลึก ต้นไม้ด้วย น่าเดินอยู่ แต่เราเวลาน้อยเลยแค่เดินผ่านๆ รีบๆไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูด้วยเนื่องจากเย็นแล้ว เราเลยต้องรีบกลับที่พักเพื่อให้ทันอาหารค่ำ

วันนี้เราพักที่ Hotel new century  ตามอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้จากในลิงค์คะ วันที่ 3

วันนี้พยากรณ์อากาศบอก cloudy และจะมีฝนตก ตอนเช้าตื่นมา ยังเห็นฟูจิเต็มๆเป็นใจอยู่ก็ดีใจหลังจากทานข้าวเช้าทำอะไรเสร็จ เราก็ย้ายโรงแรม พอ check out ก็ออกกระเป๋ามาฝากไว้ที่ Hotel Konanso Yamanashi เลย คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่ แต่ขอไปเที่ยวก่อน จุดหมายแรกของวันนี้เราจะไปกันที่ Oshino Hakkai หรือหมู่บ้านน้ำใสนั่นเอง เราจอดรถตรงหน้าหมู่บ้านนะคะที่มีลานอยู่ ค่าจอด 300 เยน 

ทางเข้าก็มีของขายเต็มไปหมด หมู่บ้านน้ำใสนี้จัดเป็น world heritage ทีเดียวเข้ามาถึงก็เห็นบ่อน้ำ และน้ำใสมากจริงๆ ปลาตัวเบ้อเร่อเลยเอาเข้าจริง เราว่าก็ไม่มีอะไรมากนะสำหรับที่นี่ ที่ดี คือ วิวด้านหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ ตรงบ่อน้ำใหญ่ตรงนี้ ด้านหลังเป็นร้านขายของฝาก คนไทยน่าจะมีเที่ยวที่นี่กันเยอะ คนขายพูดไทยได้เยอะมากๆ นึกสภาพเหมือนร้านไหนที่ทัวร์จีนลงบ้านเราเยอะๆแล้วเราพูดจีนกะเค้า อารมณ์นั้นเลย น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลาจริงๆ เห็นเค้ามีกระบวยตักน้ำ เหมือนตอนล้างมือก่อนเข้าวัดญี่ปุ่นด้วยดอกไม้สวยๆก็เพียบ อากาศบ้านเค้าดี ดอกก็เลยงามอย่างที่เห็นจากนั้นเราขับไป Lake Yamanaka อันนี้ที่คนมักจะถ่ายรูปแล้วมีรูปหงส์คู่กับภูเขาไฟฟูจิ แต่ตอนเราไปถึงนั้น ฟ้ามืดครึ้มมากแล้ว และไม่รู้ว่าจุดถ่ายรูปอยู่ตรงไหนแน่ๆ ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปกับดอกไม้ข้างทาง แล้วเดินทางต่อแทน ...มาไม่ทันซากุระ แต่ดอกนี้ก็ดูจะพอชดเชยแทนกันได้บ้างหลังจากออกมาไม่นาน ฝนก็ตกหนักมากกกก แผนเราที่เตรียมมาก็ได้ใช้ คือ ไปหลบฝนที่ outlet :D ตลอดบ่ายวันนั้นก็เลยเดินเล่นที่ Gotemba premium outlet แทนมารอบนี้มีบ้างร้านให้ส่วนลดเพิ่มกว่าปกติเนื่องจากเป็น golden week ด้วย เช่นร้าน coach เค้าจะยืนแจกคูปองอยู่ อย่างของที่ลดอยู่แล้ว 50% พอใช้คูปองก็ on top ลดอีก 30% เป็นต้นมานี่ก็กินเครปด้วย จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อร่อยดี หลังจากช็อปพอสมควรแล้ว เราก็เดินทางกลับที่พักคะ ไปใช้ facilities เรียวกังให้คุ้มค่า ให้สมกะที่ยอมจ่ายแพง T_Tตอนแรกคิดว่าจะเขียนตอนเดียวจบ แต่ดูท่าจะยาวเกินไป ขอยกยอดอีก 2 วันที่เหลือไปตอนหน้านะคะ :)