รีวิว เที่ยวญี่ปุ่น ตอนไปนิคโก้ (Nikko) โตเกียว (Tokyo) และซาวาร่า (Sawara)

มีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นอีกแล้วคะ รอบนี้ไปกะทัวร์ จุดมุ่งหมายหลักของทริป คือ อยู่ที่นิคโก้ และมาจบที่โตเกียว เป็นทริปสั้นๆ 4 วัน 3 คืน ...รอบนี้จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเท่าไร ความละเอียดอาจจะไม่ครบถ้วนนะคะ แต่เอาเป็นว่าเป็นไอเดียคร่าวๆแล้วกันเผื่อใครอยากไปเที่ยวแถบนี้

วันที่ 1

เราเดินทางมาถึงโตเกียวแต่เช้า ก็มีรถบัสมารับเพื่อนั่งต่อไปยัง Nikko เลย ระยะเวลาการเดินทางก็ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ก็ถึงจุดมุ่งหมายแรกของทริป คือ Edo wonderland  อันนี้เป็นบัตรเข้าชมที่นี่นะคะ ช่วงที่เราไปจริงๆ จะเป็นเดือนก.ค. หน้าร้อน แต่มีฝนตกบ้าง แต่โชคดีที่ตอนไปฝนไม่ตก อากาศที่นิคโก้ก็ไม่ร้อนมากด้วย จากทางเข้าก็เดินเข้าไปอีกนิด ทางเข้าร่มรื่นทีเดียวเข้าไปด้านในจะเป็นบรรยากาศจำลองเหมือนเป็นหมู่บ้านโบราณสมัยเอโดะเจอเจ้าแมว Nyan-mage ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนสัญลักษณ์ของที่นี่ออกมาคอยต้อนรับด้วยไปถึงก็ไปทานอาหารกลางวันก่อนเลย เป็นปิ้งย่างหมู แต่มันมันมากกกกกกเลย จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นกันต่อ ก่อนจะไปรอชมโชว์คะ ที่นี่จะดังเรื่องนินจา ตามยุคสมัยเอโดะ เดินๆไปก็จะเจอป้ายนินจาอยู่หลายที่ทีเดียวคุณพ่อคุณแม่ก็มักจะ cosplay ให้คุณลูกเป็นนินจาตัวน้อยกันหลายคนทีเดียวแต่เด็กวัยรุ่นหน่อย มักจะแต่ง cosplay มาถ่ายรูปที่นี่กันเยอะเลย เค้าจริงจังกันมากนะคะ เท่าที่เห็น แต่ละคนจัดเต็มสุดๆ อีกมุมนึง อันนี้ดูเป็นเมืองดี ชอบๆจากนั้นได้เวลาไปดูโชว์คะ โชว์แรกที่เราดูคือ การแสดงนินจา นินจาคาระสุ ยาชิกิ อันนี้เค้าไม่ให้ถ่ายรูปนะ ข้างในเข้าไปในโรงไม่ใหญ่ นั่งกินติดหน้าเวทีเลย โชว์นี้เด็ดมาก นินจาวิ่ง เหินเวหา หายตัว ทักษะอันน่าตื่นตะลึงของบรรดานินจาระเบิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเมื่อตระกูลนินจาคู่แข่งพยายามลักลอบเข้ามาในเคหาสน์ของตระกูลนินจาคาระสุ และการต่อสู้ประทุขึ้น มีฉากให้ผู้ชมตกใจอยู่บ่อยๆด้วย อันนี้ทำดีมาก ขอชม

ต่อมาก็จะเป็นโชว์ การแสดงของบรรดาหญิงคณิกาโออิรัน วากะมัตสึ-ยะ ก่อนเข้าไปชม หน้าโรงละครก็มีการเล่นกับผู้ชมก่อนด้วย ทำเหมือนจะจับตัวผู้ชมไปร่วมแสดงด้วยในโชว์จะเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มสูงศักดิ์คนหนึ่งผู้ตามหารักแท้ในเขตโคมแดงของเอโดะ เล่าโดยหญิงคณิกาโออิรัน ในยุคเอโดะมีเพียงชนชั้นสูงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่สามารถใช้บริการของเหล่าโออิรันได้ อันนี้ก็ดูได้เรื่อยๆ ต่อมาเป็น ขบวนแห่หญิงคณิกาโออิรัน ผ่านถนนสายต่างๆ ของเอโดะในเครื่องแต่งกายเต็มยศ จังหวะเดินเป็นเอกลักษณ์และท่าเยื้องย่างอันงามสง่าเป็นแม่เหล็กดึงดูดเหล่าตากล้อง โปรดสังเกตที่รองเท้าของโออิรันอีกอันนึงที่เราชอบ คือ บ้านนินจา ต้องเข้าไปเล่นเอง มันเหมือนบ้านโครงได้ เหมือนเราเดินอยู่บนเรือที่มีคลื่นซัดอย่างแรง อันนี้เจ๋งจริง ต้องไปลองเล่นเค้ามีบริการล่องเรือด้วยออกจาก edowonderland ก็เย็นแล้ว โชคดีมาก ตอนกลับฝนตกพอดี ถ้าตกตอนเดินเล่นอยู่คงไม่สนุก จากนั้นเราก็ไปที่พักกันคะ เราพักที่ Kinugawa onsen ที่พักด้านหน้าดูเหมือนเล็กแต่จริงๆใหญ่พอควรเลย มีออนเซ็นให้แช่ด้วย ห้องอาหารก็ใหญ่เหมาะกับรองรับแขกเป็นหมู่คณะ แล้วก็ใกล้ๆที่พักมี 7-11 ด้วย เดินไปไม่ไกล

มาดูที่ห้องเรากันบ้าง ใหญ่ทีเดียวบนโต๊ะมีขนมเป็น complimentary มียูกาตะให้ใส่ห้องน้ำตอนเย็นอาหารเป็นแบบ keiseiki รูปไม่ครบนะคะ อาหารที่นี่ใช้ได้อยู่ แต่เน้นเต้าหู้ทุกจานเลย น่าจะเป็นส่วนผสมเด็ดของเมืองนี้วันที่ 2

เราไปออนเซนตอนเช้าอาหารเช้าก่อน check out จากนั้นก็ไปที่เที่ยวที่ต่างๆในนิคโก้ จริงๆแล้วนิคโก้นี่เป็นเมืองมรดกโลกเลยทีเดียวนะคะ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เพราะ  เป็นพื้นที่ของครอบครัวในตระกูลโทกุกาว่า  โดยเฉพาะโขกุนอิเอยะสุ โทกุกาว่า ผู้สร้างเมืองเอโดะให้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ( โตเกียว )

เริ่มที่แรกเราไปกันที่ศาลเจ้าโทโชกุจุดเด่นของที่นี่ คือ มีเจดีย์ 5 ชั้น  สูง  34.3 เมตรบรรยากาศด้านในศาลเจ้า จริงๆเดินเข้าไปด้านในได้ลึกเลย แต่เราเดินเท่านี้ เพราะฝนตก ขี้เกียจไปต่อ เค้าว่ากันว่า เสาโคมพวกนี้พวกไดเมียวสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับดวงวิญญาณของท่านโชกุน จุดเด่นอีกอย่างนึงของที่นี่ คือ รูปแกะสลักลิง 3 ตัว. (Three  Monkeya) ในอิริยาบถปิดหู ปิดปาก ปิดตา  ซึ่งสื่อความหมายว่า  Seeing no Evil , Spwaking no Evil and Hearing no Evil ผลงานการแกะสลักของ  ฮิดาริ  จินโกโร่ (Hidari  Jingoro)จริงๆ ใกล้ๆนี้มีสะพานแดงทอดข้ามแม่น้ำไดยะ (Daiya  River) ชื่อสะพานชินเคียว แต่ไม่มีที่จอดรถทัวร์เลยอดไป จริงๆถือว่าพลาดมาก เพราะมานิคโก้ ไม่ควรจะพลาดที่นี่

จากนั้นก็ไปทานข้าวกลางวันกันที่ร้านใกล้ๆกับทะเลสาป ไม่รู้ชื่อะไรเหมือนกันทานเสร็จไปเดินเล่นตรงทะเลสาปวิวดีเลย เสร็จจากนั้นก็เดินทางไปยังน้ำตกเคง่อน (Kegon  Waterfall)  ทางไปโหดมาก โค้งเพียบ กะอยู่ริมผา อันนี้วิวน้ำตกที่เห็นจากที่จอดรถ

ไปถึงเราต้องไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปชมน้ำตกซึ่งมีความสูงถึง  99 เมตร  น้ำหล่นมาจากหน้าผาของแม่น้ำโอจิริ (Ojiri) ของจริงสวยนะคะ แต่ถ่ายรูปย๊ากยาก เสร็จจากที่นี่ เราก็นั่งรถกลับโตเกียวกันคะ ไปถึงก็ไปเดินเล่นที่ shinjuku ก่อนไปถึงก็ค่ำๆพอดี วันนี้พักที่ tobu hotel levant อันนี้อยู่แถวๆแม่น้ำ Sumida จากห้องพักเห็นวิว Tokyo skytree เลย เนื่องจากดึกแล้ว ก็เลยไปเดินเล่นแถวที่พักแทน ช็อปปิ้งของในซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ แถวนั้นมี starbucks ด้วยเลยได้ลองรส limited edition ของที่โน่น ชอบมากรสส้ม กินแล้วสดชื่น แล้วก็ได้เจ้าเชอรี่มากินที่ห้องพัก หวานมากวันที่ 3 

วันนี้เป็นวันฟรีเดย์ที่เราไม่ต้องไปทัวร์คะ เลยไปเที่ยวเอง เริ่มต้นด้วยการไปทาน breakfast ที่โรงแรมแบบเบาๆรองท้องก่อน คือ ไ่ม่ได้ถ่ายรูปมา แต่จะบอกว่า breakfast ของโรงแรมดีมาก line มีให้เลือกเยอะและหลากหลาย ที่สำคัญอร่อย

จากนั้นเราก็มากินมื้อจริงจังที่ World breakfast all day  เป็นร้านเล็กๆที่มีคอนเซ็ปต์เก๋มาก คือ จะเป็นเมนูอาหารเช้าประจำชาติ ผลัดเปลี่ยนเมนูไปเดือนละชาติ อย่างตอนที่เราไปเป็นอาหารเช้าประจำชาติเดนมาร์ค ร้านก็ออกแนววินเทจ...ร้านนี้เคยลง magazine ในไทยทำให้คนตามมาทานเยอะเลยทั้งร้านมีโต๊ะเดียว แค่นี้จริงๆ แล้วก็ด้านหลังก็เป็นครัว ทำกันสดๆ มาดูเมนูกันบ้าง มีให้เลือกไม่มากสำหรับอาหาร แต่เครื่องดื่มหลากหลายดี ส่วนผสมมาจากหลายๆชาติ เราสั่งเป็น Dansk morgenmad มาทาน จานนี้ 1500 เยน หลากหลายอย่างเลยในจานเดียวอีกจานเป็นเหมือนมูสลี่ เครื่องดื่มเราสั่งเป็นอันนี้ ของสเปน มันเป็นนมมาเลยแล้วก็แยกซองมา ในซองก็เหมือนเป็นผงโอวัลติน made in espanaอีกอันเพื่อนสั่ง จำไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็อร่อยดี เค้าบอกเสร็จจากร้านนี้ จะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า เจอ manneken waffle เลยจัดต่อไปอีกเข้ามาในโตเกียวนี่ผิดกับนิกโก้มาก แดดร้อนสุดๆ การเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนนี่ไม่สบายเลย 

จากตรงนี้ใกล้ๆกับ omotesando hill เราก็ไปเดินเล่นตรงนั้นกันก่อน ขนาดวันธรรมดาคนยังเยอะเลย 

จากนั้นก็ไปยัง shibuya จากนั้นก็ไปกินซูชิที่ Katsu-Midori รอคิวนิดนึง ขนาดเราไปบ่ายสองแล้ว ร้านนี้เป็น sushi train ราคาไม่แพง คุณภาพใช้ได้ อันนี้เป็นจานที่สั่ง เราชอบเนื้อย่าง เอ็นกาวะ ปลาไหลซูชิมาก คิดตังค์ เค้าจะเอาเครื่องมาสแกนจาน เรื่องกินยังไม่จบเท่านี้คะ เรามาต่อกันที่ shinjuku จะไปหาซื้อของที่ takashimaya เดินผ่านเจอร้าน De joel Robuchon แต่เป็น version Le cafe ก็รีบพุ่งตัวไปเลย เพราะเคยกินjoel Robuchon แบบเต็มแล้วชอบมาก แต่แพงมากร้านนี้เป็นแนวคาเฟ่ธรรมดา ราคาก็ธรรมดา รสชาติก็เลยธรรมดาตาม หลังช็อปปิ้งเสร็จ ที่หมายสุดท้าย คือ ไป Tokyo tower เราเคยมาหลายครั้งอยู่แต่ไม่เคยขึ้นซะที รอบนี้มาแล้วต้องขึ้น เพราะในช่วงหน้าร้อนนี้ ที่นี่เค้าจะมีการจัด Milky Way Illumination เป็นประจำทุกปี 

ตอนเดินไปถึงก็เห็นแต่ไกล ทางเดินไปเค้าก็ built อารมณ์ให้ไปดู illumination ตลอด รอไปซื้อตั๋วคะ ค่าเข้าชม 900 เยน อันนี้ขึ้นแค่ขั้นแรก แต่ถ้าอยากไปต่อก็ไปซื้อตั๋วข้างบน ขึ้นลิฟต์มาก็ตื่นมาตื่นใจ เค้าจัดเป็นเหมือนจำลองดาวตก จุดพลุ สวยดีคะ วิวยามค่ำคืน จาก Tokyo tower จากนั้นลงบันไดไปที่ main observatory ดาวสีน้ำเงินเต็มฟลอร์เลย  จัดตลอดทางเดิน ใครมากะแฟนก็คงจะดูโรแมนติกมากมีดนตรีเล่นด้วยเราชอบที่เงาของไฟมันสะท้อนในกระจก เวลามองออกไปด้านนอกมันเหมือนเป็นทางช้างเผือก ดวงดาวบนฟ้าจริงๆมีช่องกระจกให้มองลงไปด้านล่างด้วย ว่าเราขึ้นมาสูงแค่ไหนลงมาด้านล่าง จะเป็น one piece cafe/museum แต่เราไม่ได้เข้านะ จากนั้นกลับโรงแรม ตอนแรกกะว่าจะหาอะไรเบาๆกินใน minimart แต่ปรากฏว่าเจอร้าน Yayoi ต้นฉบับที่นำเข้าไทยเลยลองทานดูซะหน่อย ที่นี่จะเป็นตู้กด จ่ายเงินเลย มีเมนูภาษาไทยด้วยนะ จากนั้นพนักงานก็จะมาเสริ์ฟขอบอกว่าอร่อยกว่าไทยมากกกกกกกกกวันที่ 4

มาญี่ปุ่นข้อเสียอย่าง คือ กาแฟไม่อร่อย เราเลยผูกปิ่นโตกะ starbucks แทน อันนี้วิวระหว่างเดินจากโรงแรมไปร้าน ไม่ไกลจาก tokyo skytree จริงๆ แค่ประมาณ 1.5 โล จากนั้นเราไปต่ออีกเมืองใกล้ๆโตเกียว ชื่อ Sawara ก็จัดเป็น little edo อีกเหมือนกัน 

ทัวร์พามานั่งเรือ แต่สงสัยลืมไปว่าเป็นหน้าร้อน ไม่ทันได้มองอะไรเลย เพราะมัวแต่หลบแดด แดดมันร้อนแสบผิวมาก บ้านเมืองเค้าน่ารักดี ตรงปากทางมีร้านขายของที่ระลึกน่ารักมาก ขอให้ได้แวะกัน เสียดายที่พลาดอย่าง คือ เค้าบอกว่าน้ำแข็งใสที่นี่ดัง แต่ว่าวันที่เราไป เค้าเพิ่งกลับมาเปิดหลังหยุดยาวเราไปเช้าไปร้านยังไม่เปิดเลยอด

จบทริปจ้า :)