ความเดิมตอนที่แล้ว
Day 8 (4 Jan 16) : อยากไปสัมผัสหิมะที่ชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
ความตั้งใจก่อนมา คือ ที่ shirakawago ถือเป็น hilight ทริปของเราเลยทีเดียว คือ อยากสัมผัสหิมะที่ญี่ปุ่นบ้าง ภาพที่ผู้คนรีวิว บ้านชาวนาหลังคามุมฟางสีน้ำตาลมันช่างตัดกับหิมะหนาๆสีขาวเสียจริงๆ ใน FB จะมีเพจของ shirakawago อยู่ เราก็เฝ้าดูทุกวัน ว่าอากาศวันนี้เป็นเช่นไร ก็เรียกได้ว่าลุ้นกันทุกวัน เพราะปีหน้าจัดเป็นความโชคร้ายของเราเอง เนื่องจากหิมะตกช้า อากาศโลกร้อนผิดปกติ คือ ช่วงเวลานี้ของปีก่อนๆ หิมะต้องตกแล้ว แต่ช่วงที่เราไปนั้น คือ ตกๆ หยุดๆ พอหิมะมันไม่หนา ก็ละลายไปตามเรื่อง ...จนกระทั่งถึงวันไป
ขอกลับไปที่ขั้นตอนการเดินทางก่อน คืนก่อนเราอยู่ที่ทาคายาม่า แล้วเพื่อนเราที่ไปก่อนหน้าเราเค้าใช้วิธีการเช่ารถแทนที่จะนั่งรถโดยสารNohibus ที่มุ่งตรงจากทาคาย่าม่าไปยังชิราคาวาโกะ....เราก็เลยเอาบ้าง วันที่ไปถึงที่ทาคายาม่าพอลงรถไฟ เราก็ไปเช่ารถที่ Toyota Rent a car ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกะสถานีรถไฟ takayama ข้ามถนนไปแล้วเดินไปทางขวามือ หาไม่ยาก ป้ายเค้าเด่นทีเดียว....ไปถึงก็บอกเค้าว่าขอจองรถสำหรับวันพรุ่งนี้ เค้าก็บอกว่าโอเคว่าง นัดหมายเวลากับเราว่าจะมารับรถกี่โมง คืนรถตอนไหน แล้วก็ขอ international driving license / passport เราไว้ เท่านี้ก็เรียบร้อย
พอวันที่จะไปจริงๆ ก็มารับรถตามนัด เค้าก็จะให้เราเช็คว่าตัวรถรอบนอกมีรอยอะไรบ้าง ถ้าเป็นรอยใหญ่ ก็ mark เอาไว้ ว่าไม่ใช่ความผิดเรา
ตรวจรับเรียบร้อย ก็ให้เค้า set GPS ให้ ว่าใช้งานอย่างไร ที่ญี่ปุ่น ค้นหาสถานที่ที่จะไปโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์จะแม่นยำกว่าชื่อสถานที่นะคะ แนะนำจะไปที่ไหนก็ google หาเบอร์โทรศัพท์ไว้ก่อน 
ค่าเช่ารถ 24 ชั่วโมงก็เพียงแค่ 8100 เยนเท่านั้น เทียบกะนั่ง Nohibus ก็ถือว่าค่อนข้างถูกทีเดียวสำหรับไปหลายๆคน เพราะค่ารถบัสนั่งไปเองคนละ 4420 เยน อย่างเราไปกัน 4 คนเช่ารถก็ถือว่าถูกกว่า (รวมค่าน้ำมันประมาณ 2000-3000 เยน จำตัวเลขได้ไม่แน่ แล้วก็ค่าทางด่วนอีกประมาณ 2400 เยน) ....แต่ที่ชอบตรงขับรถไปเองเพราะมันสะดวกเรื่องเวลามากกว่าเรื่องประหยัด คือ รถ Nohibus มีเป็นรอบๆ ถ้าพลาดรอบนี้ก็ต้องรอรอบถัดไป ถ้าช่วงคนเยอะๆ ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าไม่อย่างนั้นจะเต็ม
ตอนขึ้นทางด่วนก็จะต้องกดใบรับตอนขาเข้า แล้วไปจ่ายเงินปลายทาง
ขับออกมาจาก takayama ทางส่วนใหญ่จะเป็นอุโมงค์นะคะ ขับรถในอุโมงค์ก็เปิดไฟหน้ากันด้วยเพื่อความปลอดภัย
แล้วก็มีข้ามสะพานบ้าง ที่นี่เค้าจะทาสีสะพานแตกต่างกันออกไป เช่น เดี๋ยวสีแดง เหลือง ส้ม คงเพื่ให้คนขับจำทางได้มั้ง ไม่ง้านก็ดูเหมือนๆกันไปหมด
วิวระหว่างทาง ดีใจที่สุดตอนเจอหิมะนี่แหละ ชีวิตเริ่มมีความหวังว่าจะไปเจอที่โน่น

ด้วยความที่ตอนแรก search destination โดยพิมพ์แค่ว่า shirakawago ปรากฏว่าพอถึงแล้วก็เลยไปซะง้าน แล้ว GPS รถที่ใช้ก็ดีมาก ไม่มีให้ถอยกลับแต่ประการใด เหมือนไม่รู้จัก U turn ก็ให้ขับต่อไปไกลมากๆ รู้ตัวแล้วแหละว่าผิดแน่ๆ แต่ว่าทางมันเป็นทางตรงไปเรื่อยๆ พอเข้าอุโมงค์ทีก็ยาว จะกลับตัวก็ไม่ได้ จะไปต่อไปก็ไปไม่ถึง ....แต่ข้อดีของการหลงทางครั้งนี้ คือ เราไปเจอ Hidden Gem คะ ขับไปถึง The world heritage suganuma village
หมู่บ้านนี้ก็สไตล์ Gassho-Zukuri เหมือนอย่างหมู่บ้านที่ชิราคาวาโกะนั่นแหละ แต่ตรงนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาและมีแม่น้ำอยู่ใกล้ๆ....การหลงมาที่นี่ ทำให้เราได้สัมผัสกะเจ้าหิมะเต็มๆอย่างที่ตั้งใจไว้



จากนั้นเราก็กลับรถ กลับไปทางเดิมที่หลงมา 555...ไปถึง shirakawago ตามที่ GPS ตั้งไว้ ก็ปรากฏว่าไม่ใช้ตัวหมู่บ้านนะคะ จะเป็นจุดพักรถและเป็น tourist information ก็เลยไปถามทางเค้าเอาว่าจะไปที่ตัวหมู่บ้านทำอย่างไร เค้าก็ให้ map มาแล้วก็ให้ เบอร์โทรศัพท์มา พอ search by phone number ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะเลย

















จากนั้นเราก็ไปที่ที่พักของเรากันคะ อันนี้เขียนแยกไว้อีกรีวิวนึง ไปตามอ่านกันได้ Shirakawago-Shimizu
วิวจากใกล้ๆที่พัก แม้หิมะจะไม่ตก ไม่เห็นหิมะหนาๆ แต่ก็ยังพอมีให้เห็นหลงเหลืออยู่บ้าง ....ก็แค่ไม่ฟิน T_T




เดินเลยที่พักไป ก็จะเป็นบ้าน 3 หลัง ที่เห็นบ่อยๆใน shirakawago postcard 

การเดินทางท่องเที่ยวใน shirakawago ค่อนข้างลำบากเหมือนกันนะเราว่า คือ ตอนแรกดูใน map คิดว่าบ้านหลังๆจะติดๆกัน ปรากฏว่าอย่าง Shimizu inn ที่เราพัก แยกห่างออกมา จะเดินเข้าไปเที่ยวตรงกลาง (คือบริเวณที่รถบัสจอด) ก็ถือว่าไกลทีเดียว เรียกได้ว่าถ้าเดินก็คือเหนื่อยมาก น่าจะ 15 นาทีขึ้นไปได้ ส่วนเราพอใช้รถ ก็จะมีข้อจำกัดว่า สำหรับเส้นถนนหลักที่ใช้เดินทางในหมู่บ้าน เค้าไม่ให้รถผ่านช่วง 9.00-16.00 อย่างเราจะไปตรงจุดกลางหมู่บ้านที ก็ต้องไปขับอ้อมถนนเส้นใหญ่ ผ่านอุโมงค์แทน แล้วก็ค่าที่จอดรถทีนึงก็ 500 เยน ...เรียกได้ว่าทำเอาหงุดหงิด เพราะ GPS ก็จะพาไปแต่ทางที่เค้าปิดไม่ให้รถผ่าน










มาถึงจุดท่องเที่ยวแรกที่เราไป ก็คือ ตรงสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำ shokawa river อย่างฝั่งตรงข้ามก็คือ จุดจอดรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยว ข้ามไปก็เข้าไปยังหมู่บ้าน ตรงนี้ก็มีหลายที่พักเหมือนกัน ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะพักตรงแถวนี้แหละ แต่ตอนจองมาแล้วมันเต็ม ก็เลยอด

เราไม่ได้ข้ามสะพานไป เนื่องจากตอนที่ไปถึงก็บ่ายกว่าแล้ว กลัวว่าจะขึ้นไปจุดชมวิวไม่ทัน....ตอนแรกจะไปจุดชมวิว Shiroyama โดยขับรถขึ้นไปเอง แต่อย่างที่กล่าวไปตอนต้น มีปัญหามากกับเรื่องทางว่าจะไปยังไง เพราะ GPS ก็จะให้ไปแต่ทางที่มันปิด สุดท้ายก็เลยจอดรถแถวในหมู่บ้าน แล้วก็นั่งรถบัสขึ้นไปแทน รถบัสเค้าก็มีรอบนะคะ ตรงเวลาทีเดียว เที่ยวละ 200 เยนต่อคน



อันนี้เวลาขาไป
ส่วนอันนี้เวลาขากลับ
ขึ้นไปถึงก็ failed อย่างที่เห็น คือ มันเขียวมาก >< ผิดกับจินตนาการที่คาดหวังไว้สุดๆ 


จากนั้นลงมา เราก็เดินเล่นในหมู่บ้านอีกเล็กน้อย ก่อนกลับที่พัก เพราะประมาณ 5 โมง ร้านค้าก็เริ่มปิดกัน 
สรุปแล้ว สำหรับเราผิดหวังกับการมา shirakawago ในครั้งนี้พอควรนะ คือ อุตส่าห์มาถึงนี่เพราะอยากสัมผัสหิมะ อยากได้รูปอย่างที่คาดหวัง แต่ผิดที่วันเวลาสภาพอากาศในวันที่เรามาเองว่ามันไม่เป็นใจ หมู่บ้านก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก เด่นที่ลักษณะของบ้านที่ไม่มีเหมือนที่อื่นเท่านั้น....สำหรับใครที่อยากมาที่นี่ เราว่ามาเช้าเย็นกลับก็ได้นะ นั่งรถขาละประมาณชั่วโมงนึงเท่านั้น เพราะที่นี่ถ้าพักบ้านชาวนา ถือว่าค่อนข้างแพงทีเดียว ราคาประมาณพักเรียวกังเลย อาจจะไปพักที่ทาคายาม่าแทน หรือว่าใช้เป็นเมืองเที่ยวทางผ่านก่อนไปพักที่อื่นแทนก็ได้








สำหรับเรา คงต้องหาโอกาสมาซ่อม อยากได้ช็อตหิมะ...แต่คงไม่ค้างที่นี่ (ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ แต่แค่รู้สึกว่าแพงไปหน่อย จองยากมากกกกกด้วย)...แต่ถ้าจะค้าง แนะนำเป็นช่วงที่มี light up ของหมู่บ้าน ซักประมาณกลางเดือนมกราคม (ลองเช็คตารางดูอีกทีคะ)
ตอนเช้าก่อนจะกลับ เราจอดรถไว้ด้านนอกแล้วหิมะตกเบาๆตอนกลางคืน เช้ามารถกระจกน้ำแข็งขึ้นเลย ไม่เคยขับรถในที่อากาศหนาวมาก่อน ตื่นเต้น ....สรุปก็คือใช้ที่ตัดกระจก เหมือนเวลาฝนตกบ้านเรานะคะ เปิดไปซักพัก น้ำแข็งที่เกาะหิมะจะละลายไปเอง....ส่วนเรื่องถนน ตอนที่เราไป จะเห็นเลยว่ามีการเคลียร์ทางไว้ให้เกลี่ยหิมะไปไว้ข้างทางหมด ญีปุ่่นนี่เค้าสุดยอดจริงๆ....ส่วนถ้าใครไปเที่ยวตอนหิมะตกหนักๆเลย อันนี้อาจจะลำบากหน่อย อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นยางรถเป็นแบบกันหิมะนะคะ ตามถนนเค้าก็จะมีช่องให้เปลี่ยนยางเป็นระยะด้วย

ตอนถัดไป จะพาไปดูไฟ Nabana no sato ที่นาโกย่า (Nagoya) กันคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น