31/5/57

รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 5) : Day 3 Vatican (วาติกัน) และ Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่)

ความเดิมตอนที่แล้ว

รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 1) : เตรียมตัวเที่ยว Italy ด้วยตนเอง
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 2) : ที่พักใน Italy 
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 3) : Day 1 ประสบการณ์การบินกับ Airfrance และการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองที่โรม (Rome)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 4) : Day 2 When in Rome (โรม)

วันนี้เราจะไปเที่ยววาติกันกันคะ นครรัฐวาติกันตั้งอยู่ในโรม อิตาลี เป็นนครรัฐที่เล็กที่สุดทั้งในแง่พื้นที่และประชาชน ปกครองโดย Pope หรือพระสันตะปาปา การเดินทางก็ไปโดย Metro ลงสถานี Cipro-Musei Vaticani ออกมาก็เดินไปอีกซักประมาณ 10 นาทีก็จะถึง Vatican Museum 

ที่นี่เราซื้อตั๋ว online ไว้แล้วราคา 20 Euro พอไปถึงก็ไม่ต้องไปต่อคิว เข้าไปรับบัตรได้เลยที counter การซื้อตั๋ว online ไปก่อนนี่ช่วยประหยัดเวลามากๆ เราเห็นคิวนี่เลียบกำแพงไปยาวววเลยหละ ยิ่งถ้าไปสาย คิวก็จะยิ่งยาวขึ้นเรื่อยๆ
 
 ก่อนที่จะเข้าไปชม เราก็ซื้อ Audio Guide ฟังกันก่อน คนละ 7 euro
เวลาไปที่งานศิลปะ มันจะมีเบอร์ติดอยู่เราก็กดเบอร์ แล้วก็กดปุ่มสีเขียว เอาเครื่องแนบหูก็จะได้ฟังข้อมูล เรื่องราวที่มาของไปงานศิลป์ชิ้นนั้นคะ ถามว่าจำเป็นมั้ยต้องซื้อ Audio Guide อันนี้ก็แล้วแต่คน ใครอยากดูงานศิลปะรู้เรื่อง ที่มาที่ไปโดยละเอียดก็สนใจซื้อฟังกันได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบเสพงานศิลป์ ขี้เกียจฟังนานๆก็ข้ามไปก็ไม่ผิดอะไร 
พอเค้าไปถึงเค้าจะมีแผนที่แผ่นนึงให้ว่าเดินยังไง ห้องไหนเป็นโซนอะไร ก็เดินตามแผนที่ไปคะ ขอบอกว่าพิพิทธภัณฑ์มันใหญ่มาก น่าจะต้องมีเวลาซักครึ่งวันสำหรับงานศิลป์ที่นี่

เริ่มด้วยห้องแรกก็ห้องอียิปต์ (Gregorian Egyptian Museum) มีมัมมี่ที่มีอายุกว่า 3000 ปี
ระหว่างเดิน มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วอยากลงไปตรงนั้นแล้ว
Statue of the Nile 
เดินลงไปตรง Museo Chiaramonti จะมีรูปปั้นแกะสลักอย่างนี้เยอะมากเป็นทางยาว
ออกไปลานข้างนอกกัน
กลับเข้ามาด้านใน พอเดินไปตรงโซน Cortile delle Statue of the Belvedere palace ตรงนี้จะเหมือนเป็นวังแยกออกมาอีกส่วนนึง มีรูปหินอ่อนแกะสลักดังๆอยู่หลายรูป เห็นมีรูปอ่างอาบน้ำเยอะมาก ไม่รู้มีความหมายอะไรพิเศษรึป่าว

ข้อสังเกต งานอันไหนดัง ก็อันที่คนไปมุงเยอะๆ อันนี้มีไกด์มาบรรยายให้ลูกทัวร์ฟัง :P
River god (Arno)
 
Laocoon
Belvedere Torso เบลเวเดเร ทอร์โซ จริงๆแล้วเป็นรูปเฮอร์คิวลีสนั่งอยู่บนหนังสัตว์ ด้วยอายุที่เก่าแก่กว่าคริสต์ศักราชจึงเหลือให้เห็นเท่านี้ ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นฝีมือของศิลปินชาวกรีก สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินรุ่นหลังอย่างมิเคลันเจโล และราฟาเอล
Sala Rotunda (Round Room)
Heracles
พื้นโมเสก
เพดาน ก็อลังการงานสร้าง
Tapestries ห้องผ้าทอโบราณ เป็นห้องที่จัดแสดงผ้าทอที่ออกแบบโดยคณะทำงานของราฟาเอง ส่งไปทอที่บรัสเซลส์ เป็นภาพชีวิตของพระเยซู ตั้งแต่เป็นพระกุมารอยู่ในรางหญ้า มีทั้งหมด 19 ภาพ
ภาพ The Resurrection เมื่อพระเยซูคืนชีพออกมาจากหลุมฝังศพ... เมื่อเราเดินผ่านไปเราจะรู้สึกว่าพระเยซูมองตามเรามาเรื่อยๆ
Map Gallery ห้องแผนที่ เป็นภาพแผนที่แว่นแคว้นต่างๆในอิตาลีและประเทศใกล้เคียง
 งานสมัยเรอเนสซองส์ เริ่มด้วยงานของราฟาเอล the Immaculate Conception
 The School of Athens อันนี้อยู่ในห้อง Stanza della Segnatura ราฟาเองวาดภาพเฟรสโกตกแต่งห้องนี้เป็นภาพแรก ในห้องนี้กล่าวถึงนักปราชญ์ในด้านต่างๆ
 Hilight ของที่นี่คือ SISTINE CHAPEL ฝีมือไมเคิงแองเจโล แต่เค้าห้ามถ่ายรูปอ่ะ โบสถ์ซีสทีนเป็นโบสถ์ที่มีภาพวาดเฟรสโกบนเพดานและภาพคำพิพาษ์ครั้งสุดท้าย The last judgement

เสพงานศิลปะกันจนมึน กลางวันเราก็แวะทานง่ายๆใน cafe ข้างใน museum
มาถึงวาติกันแล้วอย่าพลาดส่งไปรษณีย์นะคะ จะได้ stamp พิเศษแบบนี้ (แต่ค่าส่งแพงจัง ส่งกลับมา Asia นี่คิด 2 Euro เลย แต่ถ้าส่งในยุโรปก็ประมาณ 85p
จากนั้นเราก็อำลาพิพิทธภัณฑ์แห่งนี้กันด้วยบันไดทางออกสุดเก๋
 ไปต่อกันที่ St. Peter's Basilica หรือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ จากวาติกันเดินไปไม่ไกล พอเดินไปถึงเราจะเห็นลานขนาดใหญ่ มีโอเบลิสก์อยู่ตรงกลาง ขนาบด้วยน้ำพุ ลานรอบๆนี้มีเสารายล้อมอยู่นับร้อยต้น คิวรอเข้ายาวมากคะ แถมแดดก็ร้อนเปรี้ยง แทบเป็นลม

มีนักบวชคอยอธิบาย
เข้ามาด้านในก็จะเห็นความอลังการของโบสถ์ และแท่นบูชา อันนี้เป็นฝีมือของแบร์นินี่ คนที่สร้างสรรค์ลานด้านหน้าของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์
แท่นบูชาหลักเสริมให้ดูงามขึ้นด้วย Baldaccio ฉัตรที่สร้างขึ้นทางด้านหลังแท่นบูชา เจาะช่องหน้าต่างนกเขาขนาดเล็กสูงเหนือพื้น 6 ฟุต ให้แสงลอดเข้ามา
Pieta พิเอต้า แปลว่าน่าสงสาร Pity อันนี้ก็เป็นงานอันโด่งดังของมิเคลันเจโล รูปแกะสลักหินอ่อนพระแม่มาเรียอุ้มศพของพระเยซูอยู่บนตัก
Saint Peter
 จากนั้นเราก็ไปต่อคิวเพื่อชมโดม Cupola ด้านบนอย่างใกล้ชิด ค่าเสียหายก็ 7 ยูโร มีลิฟต์ขึ้นไป เดินต่อน้อยหน่อยก็จ่ายแพงอีกนิด ถ้าอยากประหยัดอีก 2 ยูโร ก็ต้องเดินเพิ่มอีก 200 ขั้นคะ สำหรับเราถือคติใช้เงินซื้อความสบายแน่นอน 55
เดินมา 320 ขั้น ก็จะเห็นวิวนี้
 มุมโปสการ์ดเลย
ที่นี่ก็มีที่ทำการไปรษณีย์ของรัฐวาติกันนะ
รูปปั้นนักบุญที่เราเห็นไกลๆด้านล่าง
อันนี้มุมจากด้านล่าง
 ลงมาตรง St. Peter's Square สาวๆ อย่าพลาดมองหา Swiss guard นะคะ :P
โอเบลิสก์ Obelisk หรือเสาหินซึ่งมีน้ำหนักกว่า 300 ตัน และสูง 27 เมตร อันนี้สร้างที่อียิปต์มานานกว่า 2000 ปีที่แล้ว (ขนมาได้ไงหละนิ)
ก่อนเราจะไปลุยกันต่อที่อื่น ขอเติมน้ำตาลนิดนึง อันนี้เป็นไอติม พอเดินออกมาจาก St Peter's Basilica เลี้ยวไปทางขวามือ เดินไปตามป้ายร้านไอติมก็จะเจอ รสชาติใช้ได้ จริงๆ Gelato ที่นี่ร้านไหนก็อร่อยหมดแหละ :P

หลังเติมพลังเสร็จ เราก็เดินต่อไปยัง Castel Sant'Angelo เราจะเห็นวิวแม่น้ำแบบนี้ มองย้อนกลับไปทางที่เดินมาก็จะเป็นสะพาน Ponte Vittorio Emanuele II
สะพานนี้ที่ตั้งใจมา  Ponte St.Angelo
ตัว Castel Sant'Angelo จริงๆเข้าไปชมได้นะ แต่เราไม่ได้เข้าไป
เหล่าบรรดานางฟ้า นักบุญพิทักษ์ประสาท
ถ่ายรูปบนสะพานตรงนี้ก็สวยดีคะ จริงๆถ้าถ่ายบนสะพานย้อนกลับไปจะเห็น St Peter เลย แต่พอดีไม่มีรูปที่มีแต่วิวอ่ะ มีแต่นางแบบที่ไม่ค่อยกล้าเปิดเผยหน้า ^^"
แล้วก็กลายเป็นธรรมเนียมไปหละ สะพานไหนๆก็ต้องมีห้อยกุญแจ
จากนั้น เราก็กลับไปเที่ยวในโรมต่อคะ นั่งรถเมล์จากตรงนี้ไปเพื่อไปยัง Fontana di Trevi (น้ำพุเทรวี่) ที่ซึ่งมีความเชื่อว่าใครหันหลังใช้มือขวาโยนเหรียญข้ามบ่าซ้ายลงไปในน้ำพุได้ จะได้กลับมาเยือนโรมอีก
พอเดินๆไปใกล้จะถึงจะได้ยินเสียงน้ำพุมาแต่ไกลเลยคะ เสียดายมากคนจอแจเยอะสุดฤทธิ์ มีคนมาคอยขายดอกไม้สำหรับใครจะให้แฟนด้วย แต่เราว่ามันวุ่นวายจนขาดความโรแมนติกไปเลยหละ (ไม่เหมือนที่คิดฝันไว้ก่อนมา)
ไปแวะทานข้าวกันร้านใกล้ๆนี่ก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาเก็บวิวน้ำพุตอนกลางคืน

ร้านที่เลือกวันนี้ก็ตามที่ Trip advisor แนะนำอีกตามเคย Ristrorante Fontana di Venere ร้านอยู่ลึกลับซับซ้อนมากในซอก ตรอก แต่ google map ก็พาเรามาจนถึงที่ได้ เข้าไปคนเยอะทีเดียว
 
บรรยากาศในร้าน
 รวมๆอร่อยทุกอย่างนะ ชอบเป็นพิเศษก็ Prosciutto e Melone
ค่าเสียหายมื้อนี้ 44.5 Euro
 จบวันนี้ด้วยการเดินกลับไปดู trevi fountain ตอนกลางคืน พอเปิดไฟแล้วสวยดี (แต่คนก็ยังเยอะวุ่นวายเหมือนเคย)
 
ตอนถัดไปมาแล้วคะ :)
รีวิว เที่ยวอิตาลี (ตอนที่ 6) : Day 4 เก็บตก Rome (โรม)